TANK300 HEV เอสยูวีออฟโรด ออปชั่นเต็ม Big Gadget สำหรับคนชอบลุย

หลังจากที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดตัวและประกาศราคา All New GWM TANK300 HEV กันไปเมื่อเร็วๆ นี้ ด้วยค่าตัว รุ่น Pro ราคา 1,649,000 บาท และรุ่น Ultra ราคา 1,799,000 บาท ทำเอาหลายคนมองว่าราคานี้สูงไปหน่อย แต่เอาจริงๆ แล้ว TANK300 มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ และยังเป็นกลุ่มที่ไม่ได้เอาราคามาเป็นตัวตั้ง แต่เอาความต้องการและไลฟ์สไตล์ในการใช้งานมาเป็นตัวตั้งแล้วค่อยดูราคา ซึ่งถือว่าแล้วแต่มุมมอง รวมทั้งกระเป๋าใครกระเป๋ามัน เอาเป็นว่าในการทดลองขับจริง TANK300 เป็นอย่างไรกันดีกว่า

สำหรับการเดินทางทดสอบครั้งนี้เริ่มต้นกันที่โชว์รูม GWM เส้นรังสิต ปทุมธานี แถวๆ คลอง 6 แล้วมุ่งหน้าสู่เขายายเที่ยง โดยรถคันที่ได้ลองขับเป็นคันสีส้มสีขายของของเค้าเลย นั่งกัน 2 สื่อ 4 คน พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางอีกเต็มพื้นที่สัมภาระด้านท้าย อย่างแรกต้องยอมรับว่าดีไซน์รถในลักษณะทรงกล่องแบบนี้ ทำให้นึกถึงรถจี๊ปและซูซูกิ คาริเบียน ขึ้นมาทันที ชุดไฟรอบคันเป็น LED เต็มระบบ มีไฟ Daytime Running Light ไฟตัดหมอก ไฟท้ายแบบ Vertical LED ดูเข้าท่า ซุ้มล้อใหญ่โต พร้อมล้อขนาด 17 นิ้ว สีดำ ยาง A/T 265/65 R17 ติดมาเป็นมาตรฐาน ตัวรถค่อนข้างสูง กระโปรงหน้ายาว ประตูท้ายเปิดแบบ เป็นรถที่ดีไซน์ต้านลมเหมือนกับรถในสไตล์นี้ในอดีต แต่ยิ่งมองยิ่งสวย เป็นรถที่ถ้าเลอะยิ่งหล่อขึ้นเป็นกอง

มิติตัวถังกว้าง 1,930 x ยาว 4,760 x สูง 1,903 มม. ระยะฐานล้อ 2,750 มม. ทำให้ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง รองรับคนตัวสูง 180 ซม. ได้สบาย ดูใหญ่กว่ารถเอสยูวีบางค่ายอีกด้วย ดีไซน์ภายในถือว่าทำได้ดูแพง อาจจะรู้สึกคล้ายรถยุโรปบางยี่ห้องอยู่บ้าง ซึ่งโดยรวมถือว่าออกแบบมาได้น่าสนใจ มีไฟ Ambient lighting ที่ปรับได้ 64 เฉดสี ชุดคอนโซลทำได้น่าสนใจ มีนาฬิกาแบบ Analog คลาสสิกติดตั้งอยู่ตรงกลาง ถัดลงมาเป็นชุดเกียร์ Electric Shifter 9 สปีด ที่ดีไซน์ได้ล้ำสมัยดีมาก เบาะนั่งปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง มีระบบกรองอากาศ PM2.5 ลำโพงเกรดดี Infinity 8 ตำแหน่ง มีที่ชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย มีช่องจ่ายไฟสำรอง 220V พร้อมเต้ารับสายไฟ Universal ช่อง USB สำหรับผู้โดยสารตอนหน้าและหลัง และมีเอาไว้สำหรับติดกลอ้งบันทึกภาพหน้ารถ

แต่ที่ชอบสุดๆ ของเบาะนั่งชุดนี้ ไม่ใช่แค่วัสดุที่ทำให้นั่งได้สบายเท่านั้น แต่เป็นเบาะนวดไฟฟ้าอีกด้วย สำหรับคนขี้เมื่อยรับรองว่าถูกใจแน่นอน ขับไปนวดหลังไป ไม่เสียสมาธิหรอก

ส่วนเส้นทางขับในครั้งนี้เป็นเส้นทาง On Road เป็นส่วนใหญ่ แล้วหลังจากขับตัดเข้าไปเขายายเที่ยงจะเป็นทางลาดระดับหนึ่ง รวมทั้งพื้นจะเปลี่ยนเป็นทางลูกรังผสมทางปูน ซึ่งเมื่อไปถึงจุดพักบนยอดเขายางเที่ยง ทีมงานเกรท วอลล์ จัดให้ขับเข้าพื้นที่ Off Road ที่เป็นเส้นทางธรรมชาติ เพื่อให้ลองระบบการขับเคลื่อนที่ติดตั้งมาให้ใน TANK300

ขับบนทาง On Road เป็นอย่างไรบ้าง…ต้องบอกว่าทำได้ประทับใจ ด้วยตัวถังแบบนี้ค่อนข้างต้านลมเมื่อทำความเร็ว แต่กลับเก็บเสียงในห้องโดยสารได้ดีมาก เสียงลมจะเริ่มเข้ามาในช่วงความเร็วเกิน 120 กม./ชม. เสียงยางก็ถือว่าดังไม่มาก โดยรวมคือค่อนข้างเงียบ เสียงเครื่องยนต์จะดังคำรามพอได้ยินบ้างเมื่อต้องกดคันเร่งเต็มเพื่อรีดพละกำลังออกมาให้ได้ฟิลลิ่งของเสียงเครื่องยนต์

เรื่องของอัตราเร่งทำได้จัดจ้านสมตัว เพราะด้วยตัวถังที่หนักระดับ 2.7 ตัน กลับไม่รู้สึกว่าหนักเลย เพราะด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ 244 แรงม้า แรงบิด 380 นิวตันเมตร เสริมด้วยพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 106 แรงม้า และแรงบิด 268 นิวตันเมตร ทำให้มีพละกำลังรวม 350 แรงม้า แรงบิด 648 นิวตันเมตร ช่วยให้อัตราเร่งจัดจ้านมากขึ้น แต่เรื่องความประหยัดไม่ค่อยดี ถึงแม้ว่าอัตราสิ้นเปลืองจะไม่ได้เป็นจุดขายเหมือนกับรถไฮบริดทั่วไป เพราะไฮบริดใน TANK300 เป็นการเสริมพละกำลัง จึงไม่ได้ประหยัดเทียบเท่ารถไฮบริดอื่นๆ ซึ่งถ้าดูจากน้ำหนักตัวถังและเครื่องยนต์แล้ว อัตราสิ้นเปลืองที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่เป็นตัวเลขประมาณเท่านั้น เพราะมีการเปลี่ยนคนขับ ขับทั้งทาง On Road และ Off Road ตัวเลขจะอยู่ราวๆ 9-12 กม./ลิตร

ส่วนระบบช่วงล่างทำได้แน่นหนึบใช้ได้ ด้านหน้าแบบอิสระ ดับเบิล ครอส อาร์ม ด้านหลังแบบมัลติลิงก์ ให้ดิสก์เบรกมา 4 ล้อ อารมณ์ของช่วงล่างเมื่อขับในทางทั่วไปทำได้กระชับ เกาะถนนดี ช่วงล่างไม่ได้นุ่มนวลมาก ยังถือว่านั่งสบาย มีความกระด้างเล็กน้อย พวงมาลัยตั้งน้ำหนักได้ 3 ระดับ ถ้าขับเร็วแนะนำแบบสปอร์ต จะให้น้ำหนักในการควบคุมพวงมาลัยได้ดีกว่า เวลาที่ต้องเปลี่ยนเลนทันทีเพื่อเร่งแซง การทำความเร็วในโค้งไม่มีอาการท้ายโยน ยังคงควบคุมได้สบาย แต่ต้องเผื่อระยะเบรกไว้นิดหน่อย เพราะรถน้ำหนักตัวถังมาก ในภาพรวมถือว่าขับใช้งานทั่วไปสอบผ่านสบาย

ส่วนการขับแบบ Off Road ในเส้นทางธรรมชาติ เส้นทางนี้ไม่ได้ยากเท่าไหร่ เป็นทางดินลูกรังแฉะๆ จากฝนที่ตกก่อนหน้านี้ มีทางลุยทุ่งหญ้าอยู่บ้าง และเส้นทางผ่านแนวป่าที่เป็นทางลาด พื้นเป็นหินคมๆ หินบางก้อนใหญ่มาก ผิวของหินลื่นมากอีกด้วย ซึ่ง TANK300 มีโหมดการขับ 7 รูปแบบ คือ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดประหยัด โหมดพื้นหิมะ โหมดพื้นโคลน โหมดพื้นทราย และโหมด 4L ที่มีอยู่นี้ไม่ได้ใช้เลย ได้ใช้แค่ 4L แล้ว Diff lock ล้อหลังเท่านั้นเอง

โดยการขับเคลื่อนเป็นขับ 4 แบบ Full Time เมื่อปรับเป็น 4L จะเลือกล็อกเฟืองขับด้านหน้าหรือหลังได้ ด้วยระบบล็อกเฟืองขับด้านหน้าและหลัง (Electric Differential Lock for Front and Real Axles) กับใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ Off-Road Cruise Control ที่จะเหมาะกับเส้นทาง off road ที่มีความซับซ้อนของเส้นทาง พอเปิดการทำงาน ระบบจะควบคุมเครื่องยนต์และระบบเบรกอัตโนมัติ และจะใช้ความเร็วต่ำคงที่ เหมาะกับขับไต่เส้นทางไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเส้นทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ลงทางลาดหรือลงเนินชัน

และอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ได้ลองคือ ระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ หรือ TANK Turn ที่หลังจากเปิดระบบ เมื่อรถตรวจพบว่ามีความตั้งใจในการเลี้ยวมากเกินไป ระบบจะส่งแรงเบรกไปที่ล้อหลังด้านใดด้านหนึ่งเพื่อลดรัศมีวงเลี้ยวทำให้เลี้ยวในวงแคบได้ ในการใช้งานจริงๆ คือ ต้องหมุนพวงมาลัยให้สุด เปิดระบบ ให้สัญลักษณ์ TANK Turn สีเขียวขึ้นที่หน้าจอ จากนั่นกดคันเร่งแล้วจะรู้สึกว่าจุดหมุนของรถจะอยู่ด้านหลัง ถ้าจะ Turn ขวา ล้อจะล็อกที่ล้อหลังขวา แล้วอีก 3 ล้อที่เหลือจะตะกุยให้รถเคลื่อน โดยที่มีล้อหลังขวาที่ล็อกเป็นจุดหมุน ทำให้รถเลี้ยววงแคบได้นั่นเอง

โดยในภาพรวมของการขับแบบ Off Road เส้นทางนี้ไม่ได้ยาก แต่ลุยได้มากกว่านี้ยังได้อีกเยะ จะสังเกตุว่า TANK300 ขับ On Road ได้ดีแล้ว แต่การขับบนเส้นทาง Off Road จะทำได้ดีกว่า เป็นรถที่เหมาะสำหรับการลุยโดยเฉพาะ ช่วงล่างจะรองรับการขับบนเส้นทางขรุขระได้ชัดเจนกว่า นุ่มกลางๆ แข็งนิดๆ ไม่มีการย้วย ทำความเร็วขับรูดบนทางดินได้สบายๆ

นอกจากนี้ ยังมีกล้องมอบภาพ 360 องศา ที่แสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว ให้เห็นได้ชัดเจน ภาพรวมดี แต่กราฟฟิคตัวรถทำได้ประหลาดไปหน่อย กับมุมมองด้านข้างรถดูทุกอย่างขยายใหญ่ไปหมด สามารถปรับองศาของกล้องได้รอบคัน แล้วยังดูภาพจากใต้ท้องรถได้อีกด้วย ผ่านระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ Body Transparent ที่ระบบจะจดจำข้อมูลภาพจากกล้องรอบตัวรถในระหว่างการขับมารวมกับข้อมูลภาพของพื้นดิน แล้วแสดงภาพถนนแบบพาโนรามาด้านล่างและด้านหน้ารถ ช่วยให้มองเห็นสภาพใต้ท้องและหน้ารถ ทำให้ปลอดภัยมากขึ้น

โดยสรุปแล้วกับการขับแบบสลับกันขับระยะทางไม่ไกลมาก สิ่งที่ตอบได้ชัดเจนคือ ขับบนทาง On Road ได้ดี ขับง่าย ควบคุมง่าย อัตราเร่งจัดจ้าน เชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ได้ง่ายแบบไร้สาย เครื่องเสียงลำโพงคุณภาพดีมาก ส่วนการขับบนทาง Off Road ถือว่าเป็นทางของเค้าเลย ถ้าอยากให้ Performance สูงขึ้น เปลี่ยนสปริง เปลี่ยนชุดยางใหม่ ให้ดุขึ้นยิ่งดูดี  ถ้าสำหรับขับใช้งานทั่วไป ถือว่าไม่ต้องทำอะไรก็ได้ ช่วงล่างในการขับบนทางขรุขระจะแสดงสมรรถนะได้ชัดเจนกว่าขับบนทางทั่วไป

สำหรับ All New GWM TANK300 HEV เค้าเป็นเหมือนกับ Big Gadget สำหรับคนที่พร้อมจ่าย ตัวรถจะดึงดูดคนที่ชอบรถสไตล์นี้ ซึ่งในตลาดมีอยู่ไม่กี่รุ่น บางรุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า ออปชั่น และระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบายน้อยมาก แต่ราคาพอๆ กัน หรือจะเป็นอีกรุ่นออปชั่นเพียบ เป็นไอคอนของการขับแบบ Off Road แต่ราคาห่างกันหลายล้าน TANK300 จึงเป็นสายลุยทางกล่องที่ราคาดีที่สุดในตอนนี้ แต่จะมีเรื่องที่บางคนกังวลคือเรื่องของอัตราสิ้นเปลือง คือถ้าขับรถสไตล์นี้ส่วนใหญ่ไม่เน้นประหยัดมากกันอยู่แล้ว เพราะปัจจัยหลายอย่างทำให้ต้องใช้น้ำมันเยอะเป็นปกติ แล้วถังน้ำมันขนาด 80 ลิตร เป็นขนาดที่ใหญ่มาก เหมาะกับการขับทางไกล แค่ราคาน้ำมันบ้านเราตอนนี้สวิงสวายไปมา เติมเต็มถังก็จะจ่ายเยอะหน่อยเท่านั้นเอง เอาเป็นว่าถ้ารถทรงนี้ถูกจริต ก็จัดเป็นตัวเลือกเอาไว้ได้เลย ยิ่งถ้าเป็นสายท่องเที่ยว กางเต็นท์ ออกแคมป์น่าจะถูกใจแน่นอน

 

เรื่อง : พุทธิ ผาสุข