ในสมัยก่อน กีฬาทางน้ำที่แข่งขันกันบ่อยๆ มีเรือใบและว่ายน้ำ แต่ในปัจุบันเมื่อมีเทคโนโลยีจึงมีการเปลี่ยนแปลง จากความเร็วบนผิวน้ำที่ต้องใช้ลมเป็นแรงขับเคลื่อนมาเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล ความเร็วที่ได้ก็มีมากขึ้นหลายเท่าตัว
กีฬาทางน้ำในปัจจุบันที่เกี่ยวกับความเร็วคงจะหนีไม่พ้น เจ็ตสกี JET SKI เราอาจจะเคยเห็นกันตามแหล่งท่องเที่ยวริมทะเลหรือในทะเลสาบ บางคนอาจจะเคยได้สัมผัสในขณะเดียวกันบางคนยังไม่เคยได้จับ กีฬาความเร็วทางน้ำชนิดนี้โดยส่วนมากจะถูกใจชาวต่างชาติมากกว่าชาวไทย เนื่องด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ในการเล่นนั้นมีราคาค่อนข้างสูง และยังเป็นกีฬาที่ต้องใช้สรีระในการบังคับทิศทางทำให้ไม่ค่อยเหมาะกับคนไทยมากนัก
เดิมที เจ็ตสกี นั้นถูกพัฒนาขึ้นโดย คาวาซากิ แบรนด์ดังจากรถสองล้อ ต่อจากนั้นค่ายอื่นๆ จึงได้ผลิตออกมาหลังจากที่เจ็ตสกีที่คาวาซากิได้ถูกผลิตขึ้น โดยเจ็ตสกีนั้นแบ่งได้ 3 แบบ คือ แบบยืน แบบนั่ง และแบบสปอร์ต ซึ่งมีเครื่องยนต์หลายขนาด มีทั้งแบบที่ใช้ในการแข่งขันและแบบที่ใช้เดินทางท่องเที่ยว ซึ่งก่อนที่เราจะเลือกซื้อควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับชนิดของเจ็ตสกีให้ดีเสียก่อน
ตั้งแต่ที่มีเจ็ตสกีเริ่มเข้ามาในประเทศไทยนั้น ทำให้ผู้ที่รักความเร็วไม่ว่าจะบนถนน ท้องฟ้า และผิวน้ำก็ต่างให้ความสนใจ บางคนบอกว่าเหมือนการขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ในน้ำ บ้างก็ว่าเป็นเรือนั่งส่วนบุคคลที่แปลกพิศดาร แต่นั้นคืออดีต ปัจจุบันใครๆ ก็ต่างรู้จักเจ้าเรือนั่งส่วนบุคคลที่แล่นได้รวดเร็วดั่งนั่งเครื่องบินเจ็ตพวกนี้ จนเกิดเป็นกีฬาทางน้ำที่ได้รับความนิยมสูง เพราะด้วยความเร็วของเจ้าเจ็ตสกีทำให้ผู้ชอบสิ่งท้าทายต่างก็หลงใหลกันทั้งนั้น ในประเทศไทยการจะมีเจ็ตสกีได้ลำหนึ่งนั้นต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะราคาค่อนข้างสูง เทียบได้กับซื้อรถยนต์มือสองสภาพดีได้คันหนึ่ง จนมีหลายเสียงพูดกันว่าเป็นกีฬาของคนรวยไปเสียแล้ว แต่กีฬาก็คือ กีฬา ไม่สามารถตัดสินกันได้ด้วยความรวยหรือความจน
มาวันนี้เจ็ตสกีได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมาก ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับกับความต้องการและเพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่ เมื่อครั้งเหตุการณ์ที่น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 เหล่าบรรดาเจ็ตสกีต่างก็เข้ามาช่วยเหลือประชาชน ซึ่งบางครั้งทางการที่ใช้เรือท้องแบนก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่เจ็ตสกีนั้นสามารถเข้าถึงได้แม้ว่าจะมีกระแสน้ำแรง
ดังที่กล่าวไว้ตอนแรกว่าเจ็ตสกีนั้นมี 2 ประเภท คือ แบบนั่งและแบบยืน เรามารู้จัก เจ็ตสกีแบบยืนกันก่อน เจ็ตสกีแบบยืนนี้จะมีขนาดเล็กกว่าแบบนั่งทั้งโครงสร้างและเครื่องยนต์ แต่ก็มีข้อดีถึงแม้จะเล็กกว่าแต่สามารถบังคับท่าทางในการเล่นได้ดีกว่า เพราะว่าต้องใช้สรีระของร่างกายเข้าช่วย เจ็ตสกีแบบยืนนั้นสามารถนั่งโดยการคุกเข่าแทนการนั่งคร่อมได้เช่นกัน
เจ็ตสกีแบบนั่ง เป็นเจ็ตสกีที่มีขนาดรูปร่างและเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่าแบบนั่งมาก สามารถบังคับได้ง่าย สำหรับผู้ที่เริ่มต้นขับเจ็ตสกีส่วนมากจะเริ่มจากเจ็ตสกีแบบนั่ง และจึงไปขับเจ็ตสกีแบบยืน เนื่องจากแบบนั่งนั้นบังคับง่ายกว่า จึงเรียนรู้ได้รวดเร็วเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถขับได้ แต่จะให้ขับเจ้าเจ็ตสกีลำโตนี้ได้แบบคนขับเป็นนั้น ต้องใช้เวลากับมันมากอยู่เพื่อเรียนรู้เทคนิคต่างๆ
เจ็ตสกีแบบสปอร์ต เป็นเจ็ตสกีที่ผสมระหว่างแบบยืนและแบบนั่ง มีขนาดเล็กกว่าแบบนั่งแต่ใหญ่กว่าแบบยืน โดยแฮนด์บังคับนั้นจะอยู่สูงกว่าแบบนั่งเพื่อการขับขี่แบบยืน ตามชายทะเลที่เราไปเที่ยวแล้วมีเจ็ตสกีให้เช่า ส่วนมากจะเป็นแบบนั่งและแบบสปอร์ต
ขนาดของเครื่องยนต์ มีทั้งแบบ 2 จังหวะ และ 4 จังหวะ เครื่องยนต์สำหรับการแข่งขันนั้นมี 4 ประเภท
1. รุ่น STOCK เครื่องและลำเรือจะต้องเป็นอุปกรณ์ที่เป็นมาตรฐานเดิมจากโรงงาน
2.รุ่น LIMITED สามารถเปลี่ยนแปลงอะไหล่ต่างๆ แต่ยังไม่สามารถ modified เพิ่มได้
3.รุ่น OPEN สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์รวมถึงอะไหล่ต่างๆ และยังสามารถ modified เพิ่มได้
4.รุ่น MODIFIED เป็นรุ่นท็อปสุดซึ่งสามารถ modified ได้อย่างเต็มที่แต่การ modified นั้นจะต้องอยู่ภายใต้ความปลอดภัยที่ใช้ในการแข่งขัน
การแข่งขันเจ็ตสกีนั้น แบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน
1.Closed Course เป็นการหาผู้ชนะจากการเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก
2.Slalom เป็นการแข่งที่ขับแบบจับเวลาโดยมีการกำหนดเส้นทางเอาไว้
3.Freestyle เป็นการแข่งขันแสดงท่าทางลีลาต่างๆ
4.Endurance การแข่งขันระยะทางไกล
ในประเทศไทยนั้นการแข่งขันยังมีการจัดอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะตามบึงหรือทะเลสาบต่างๆ ก็ยังมีการแข่งขันให้เห็นกันบ่อยๆ ทั้งต่างจังหวัดและในกรุงเทพฯ
กฎหมายและข้อบังคับของเจ็ตสกีในต่างประเทศนั้นเคร่งครัดมาก เพราะเป็นกีฬาที่อันตรายมีความเสี่ยงสูง อย่างในประเทศบราซิล ผู้ขับขี่จะต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป และต้องสวมเครื่องป้องกัน (lifejackets) รวมถึงจะต้องมีใบขับขี่ทางน้ำที่กองทัพเรืออนุญาต ในประเทศไทยนั้นไม่จำเป็นจะต้องมีทะเบียน ดังนั้นผู้ปกครองที่มีบุตรหลานแล้วเล่นเจ็ตสกี ควรดูแลอย่างใกล้ชิด
ในขณะนี้มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้วงการเจ็ตสกีฮือฮาและถูกนำมาพูดกันปากต่อปาก คือเรื่องของ ควอดสกี (Quadski) เป็นทั้งเจ็ตสกีและรถเอทีวี กล่าวคือ เป็นเจ็ตสกีที่สะเทินน้ำสะเทินบกแบบที่เราเห็นกันในหนังที่มันไม่น่าจะเป็นจริงได้
สำหรับผู้ที่สนใจที่จะเริ่มต้นการขับเจ็ตสกี ควรเริ่มจากการศึกษาเสียก่อนแล้วจึงไปทดลองขับตามสถานที่บริการ อาจจะเป็นในบึงหรือทะเลสาบ ซึ่งสามารถขับได้ง่ายเนื่องจากมีคลื่น หากไปเริ่มเรียนรู้การขับเจ็ตสกีในทะเลนั้นจะรู้สึกว่าบังคับยากกว่า อีกทั้งเมื่อเจ็ตสกีออกไปไกลฝั่งจะทำให้ตามไปรับได้ลำบากมาก
PROTECTION OF USE
การขับเจ็ตสกีในแต่ละครั้งจะมีความเสี่ยงเกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าจะด้วยสภาพภูมิศาสตร์ ประมาทในการขับขี่ การไม่สวมเครื่องป้องกัน หรือจากตัวลำเรือเองก็สามารถเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ เราจะเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ว่าเจ็ตสกีขับชนคนบ้าง หรือพลิกจมน้ำแล้วศีรษะไปกระแทกโขดหินหรือเรือบ้าง เหตุการณ์เหล่านี้จะลดน้อยลงหากผู้ขับขี่สร้างความปลอดภัยให้ตัวเอง
ความเข้าใจผิดของคนทั่วไปว่า การขับเจ็ตสกีที่แล่นอยู่บนผิวน้ำจะอันตรายน้อยกว่ามอเตอร์ไซค์ที่แล่นอยู่บนถนน เพราะอย่างน้อยถึงจะล้มแต่ก็ไม่เจ็บ แต่ทว่าความจริงแล้วการขับเจ็ตสกีที่มีความเร็วนั้น มีความอันตรายแฝงไว้อยู่มากมาย โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มขับเจ็ตสกีที่ยังไม่มีความชำนาญเพียงพอ
อุปกรณ์ในการป้องกันของเจ็ตสกีนั้นคล้ายกับรถมอเตอร์ครอส ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็น หมวกกันน็อก, แว่นตา (ในมอเตอร์ครอสใช้กันเศษดินที่กระเด็นขึ้นมา แต่เจ็ตสกีใช้กันน้ำ), เกราะอ่อน และถุงมือ อุปกรณ์พวกนี้จำเป็นที่จะต้องสวมใส่ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นอุปกรณ์ป้องกันที่ดีที่สุดและเป็นสิ่งเดียวที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขับเจ็ตสกีหรือการใช้งานเครื่องยนต์กลไกอื่นๆ นั้นก็คือ ‘สติ’ หากขาดสติแล้วเป็นอย่างไรเราคงรู้กันดี
เรามาในส่วนของอุปกรณ์ป้องกันในส่วนที่สำคัญกันดีกว่า จากที่ได้กล่าวมาในข้างต้นแล้วยังมีอุปกรณ์ที่สำคัญแต่ยังไม่ได้พูดถึง นั้นคือ เสื้อชูชีพ Lifejacket ที่เป็นตัวช่วยให้เราพ้นจากอันตรายได้ดีที่สุดจากการตกน้ำ ในการที่เราตกน้ำมาจากด้วยเหตุผลหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรือพลิกคว่ำที่เราจะโดนเรือกดทับจนจมน้ำ หรือกระเด็นออกจากเรือด้วยแรงเหวี่ยง ต่างก็ทำให้เราจมน้ำได้ หากไม่มีอุปกรณ์อย่างเจ้าเสื้อชูชีพ หลายคนอาจจะได้นอนเล่นอยู่ใต้น้ำนานแล้ว
หมวกกันน็อก Helmet เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ป้องกันการกระแทกที่ดีที่สุดสำหรับการขับเจ็ตสกี เหตุเพราะจากการขับพาหนะที่ใช้ความเร็ว เมื่อเกิดการเสียหลักจะมีการกระแทกที่ศีรษะอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งอาจทำให้เกิดการเสียชีวิต แต่ในเจ็ตสกี จุดประสงค์หลักๆ คือ ป้องกันศีรษะกระแทกตัวลำเรือและหินใต้น้ำ การเลือกใช้หมวกกันน็อกควรเลือกหมวกใบที่พอดีกับศีรษะไม่หลวมหรือไม่แน่นจนเกินไป
แว่นตา Glasses เป็นเครื่องป้องกันที่ช่วยไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทั้งผู้ขับขี่ การขับเจ็ตสกีที่เป็นกีฬาทางน้ำแน่นอนว่าจะต้องมีน้ำ และอาจจะมีเศษ หิน ดิน ทราย กิ่งไม้ กระเด็นเข้าตาทำให้ตาบอดได้ ดังนั้นแว่นตาจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการขับเจ็ตสกีอย่างมาก นอกจากจะป้องกันตัวได้แล้ว ยังสามารถช่วยคนรอบข้างได้ด้วย เพราะเมื่อไม่นานมานี้มีอุบัติเหตุที่เกิดจากการไม่สวมแว่นตาขับเจ็ตสกี แล้วน้ำกระเด็นเข้าตาทำให้มองทางไม่ชัดจึงขับชนคนที่เล่นน้ำอยู่อย่างจัง และเจ็ตสกีได้พลิกคว่ำ จนคนขับสำลักน้ำเพราะขาดอากาศหายใจ แต่ยังดีที่อุบัติเหตุจากการชนครั้งนี้ไม่รุนแรงนัก สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เราไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด
การแข่งขันของเจ็ตสกี ที่จัดว่าเป็นกีฬาทางน้ำที่เกี่ยวกับความเร็ว จึงมีเหตุบ่อยครั้งที่ต้องเกิดอุบัติเหตุและมีการกระแทก เกราะอ่อน จึงเป็นเครื่องป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับการรับแรงกระแทก เพราะมีทั้งที่ลำตัว, แผ่นหลัง, หน้าแข้ง, และตามข้อต่างๆ นักแข่งที่ใช้ความสูงจึงสวมใส่ไว้เสมอๆ
อุปกรณ์ป้องกันของเจ็ตสกีนั้นยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ แต่สามารถสร้างความปลอดภัยได้มากกว่า นั่นคือ ประสบการณ์ ที่หาซื้อไม่ได้ตามร้านค้าทั่วไป มีแต่ในชีวิตจริง เหตุการณ์จริง ท่านใดที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวกับเจ้าเจ็ตสกีมานานนมแล้วจะรู้และเข้าใจเลยว่าการขับเจ็ตสกีแบบนั่งที่มีเครื่องยนต์ 1,000 C.C. ขึ้นไปมันไม่ได้ง่ายเลยที่จะขับให้เร็วและยังสามารถเข้าโค้งหรือไม่ชนกับคลื่นจนพลิกคว่ำ ทักษะที่ได้มาจากประสบการณ์นั้นเปรียบเสมือนการเรียนตั้งแต่ประถมจนจบปริญญาเอก การขับเจ็ตสกีก็เหมือนกัน มีตั้งแต่ Beginner จนถึง Professional
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.