Porsche อัพเกรดประสิทธิภาพแบตเตอรี่ High-voltage เพิ่มระยะการเดินทางไฟฟ้าให้ Cayenne E-Hybrid
Porsche เสริมศักยภาพการเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าให้รถสปอร์ตเอสยูวี Cayenne ระบบขับเคลื่อนปลั๊ก-อิน ไฮบริด เพิ่มขนาดสมรรถนะของแบตเตอรี่ High-voltage จากเดิม 14.1 กิโลวัตต์ชั่วโมงเพิ่มขึ้นเป็น 17.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ส่งผลให้ระยะทางที่สามารถขับด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เพิ่มสูงขึ้นกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ในการทดสอบตามมาตรฐาน NEDC (ECE-R101) โดย Porsche Cayenne E-Hybrid และ Turbo S E-Hybrid จะสามารถขับโดยปราศจากมลพิษสูงสุดถึง 47 กิโลเมตร
ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ซึ่งได้รับการติดตั้งใน Cayenne เครื่องยนต์ Pplug-in hybrids ทุกคัน รวมทั้งรุ่นตัวถัง Coupé ที่ให้ภาพลักษณ์สปอร์ตเต็มตัว ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ 8 จังหวะ Tiptronic S ให้พละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดเมื่อใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ทำได้ที่ 135 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตอบสนองต่อการขับขี่ที่ต้องการกำลังเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ระบบการขับขี่ Driving Modes ทั้งโหมด Sport และ Sport Plus ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่น Cayenne E-Hybrid ประจำการขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินขนาดความจุ 3 ลิตร V6 เทอร์โบ ให้พละกำลังสูงสุด 340 แรงม้า เมื่อผสานการทำงานทั้ง 2 ระบบจะได้กำลังสูงสุดรวมกว่า 462 แรงม้า และ Cayenne Turbo S E-Hybrid ให้พละกำลังสูงสุดถึง 550 แรงม้าจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ หมายถึงพลังมหาศาลจะได้รับการปลดปล่อยเมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าถึงกว่า 680 แรงม้า
ปรับแต่ง Driving Modes เพื่อขีดสุดแห่งสมรรถนะ
รูปแบบการขับขี่หรือ Driving Modes ซึ่งได้รับการติดตั้งเป็นมาตรฐาน พร้อมชุดแต่งเพิ่มสมรรถนะ Sport Chrono Package ผ่านการปรับแต่งใหม่ เพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และเสริมสมรรถนะการขับขี่ ให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น
สำหรับ E-Charge Mode จะสั่งการให้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ชาร์จพลังงานให้แก่แบตเตอรี่ในระหว่างการเดินทาง ได้ถูกปรับปรุงให้ทำงานอย่างสอดประสานกับรูปแบบการชาร์จในลักษณะต่างๆ เป้าหมายระดับการชาร์จพลังงาน แบตเตอรี่ปรับลดลงจาก 100 เป็น 80 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับการชาร์จโทรศัพท์มือถือ Smartphone อัตราการชาร์จจะลดความเร็ว และลดพลังงานที่ใช้ลง เมื่อความจุหรือ State of Charge เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ขั้นตอนดังกล่าวช่วยให้มั่นใจได้ว่าระบบ Recuperation จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ตลอดเวลา และ E-Charge Mode ยังมีศักยภาพที่ดีเยี่ยมยิ่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
ในส่วนของโหมดการทำงานที่รองรับการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะอย่าง Sport และ Sport Plus แบตเตอรี่จะได้รับการชาร์จอยู่ตลอดเพื่อรักษาระดับพลังงานสำรอง ไว้ใช้ในการเพิ่มอัตราเร่งยามที่ผู้ขับขี่ต้องการได้อย่างทันทีทันใด ยิ่งไปกว่านั้นประสิทธิภาพการชาร์จยังถูกยกระดับให้เหนือชั้นไปอีกขั้น แม้ในขณะที่ต้องการพลังงานปริมาณมากอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตัวอย่างเช่น ค่าเฉลี่ยของกำลังจะอยู่ที่ 12 กิโลวัตต์ในรุ่น Cayenne Turbo S E-Hybrid เมื่อเลือกใช้งานโหมด Sport Plus
ระบบชาร์จพลังงานอัจฉริยะ Porsche Mobile Charger Connect
ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ชาร์จพลังงานให้แก่รถยนต์ไฟฟ้าภายในที่พักอาศัย ดังนั้นหัวต่อแบบมาตรฐานหรือ Industrial Electrical Socket เหมาะสำหรับการชาร์จรถยนต์ Porsche ที่ติดตั้งขุมพลัง Plug-in Hybrid ทุกคัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น กำลังไฟฟ้าที่ใช้ในการชาร์จสูงสุดไม่เกิน 7.2 กิโลวัตต์ นั้นสามารถใช้งานร่วมกับระบบ Porsche Mobile Charger Connect ได้ทันทีผ่านอุปกรณ์ Mode 3 Charging Cable รวมทั้งสามารถนำไปชาร์จร่วมกับ สถานีชาร์จพลังงานสาธารณะ Mobile Charger Connect มาพร้อมฟังก์ชันการทำงานอันชาญฉลาดมากมาย ระบบตั้งเวลา Timer ช่วยให้รถยนต์พร้อมใช้งาน ภายใต้ระยะเวลาที่ผู้ขับขี่กำหนดไว้อย่างเฉพาะเจาะจงเสริมด้วยฟังก์ชัน Pre-defined Charging Target รวมทั้งสามารถเลือกการทำงานของ Air Conditioning ล่วงหน้าควบคุมการทำงานของฟังก์ชัน ทั้งหมดได้ตามต้องการผ่านแอพพลิเคชัน Porsche Connect App
ขยายขอบเขตของประสิทธิภาพการทำงานด้วยการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์พิเศษ Home Energy Manager โดยระบบจะทำการรวบรวมข้อมูลอัตราการใช้พลังงานภายในที่พักอาศัยของผู้ขับขี่ทั้งหมด และบริหารจัดการกำลังไฟฟ้าสูงสุดที่ใช้ในการชาร์จ เพื่อหลีกเลี่ยงการ Overloading ของระบบไฟบ้าน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมของ New Cayenne E-Hybrid, New Cayenne Turbo S E-Hybrid, New cayenne E-Hybrid และ New Cayenne Turbo S E-Hybrid Coupé ที่โชว์รูมปอร์เช่ บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส ทุกสาขา
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.