ร้อนนี้ไปเล่นหิน กินฝุ่น กันที่ภูโน อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
ทุกครั้งที่ได้นั่งมองรถล้อโตๆ ก็หวนคิดถึงผองเพื่อนพี่น้องที่เคยกินเคยดื่มและเคยลำบากด้วยกัน ในการนอนกางดิน กินกลางทราย รวมทั้งร่วมกินข้าวบนใบตองด้วยกัน มีคนถามว่าทำไมต้องไปลำบาก อดหลับอดนอนขนาดนั้น คำตอบก็คือ สิ่งที่ทำไปมันคือความสุขเล็กน้อยที่หาไม่ได้ตามท้องถนนทั่วไป หากแต่พวกเราต้องเดินทางไกลเพื่อแสวงหาสิ่งที่ต้องแลกมาด้วยความยากลำบากนั่นคือ ความสุขที่แท้จริง รวมถึงมิตรภาพไมตรีที่พบเจอในเส้นทางที่แสนจะลำบาก
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นอกจากจัดงานเลี้ยงรื่นเริง พบปะสังสรรค์กันในชมรมครอบครัวใหญ่แห่งดินแดนอีสานและมีสมาชิกมารวมตัวกันมากกว่า 100 คัน แต่นั่นก็เป็นส่วนน้อย เพราะหลายๆ ทุกคนหากแต่บ้างก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ บ้างก็ย้ายถิ่นฐานไปทำงานห่างไกล บ้างก็ได้ฝากร่องรอยและความทรงจำไว้หลังพวงมาลัย แต่ความสุขสนุกสนานของเราณ ปัจจุบัน ก็ยังขับเคลื่อนต่อป พร้อมกับการเลือกตั้งประธานและคณะทำงานใหม่ แถมมีกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ไว้คอยตอนรับสมาชิกใหม่ที่จะก้าวเข้ามาสู่เส้นทางสายนี้
โดยเฉพาะเมื่อเร็วๆ นี้ หลังจากที่ได้ข้อสรุปทุกอย่างแล้ว ตามประเพณีของทางชมรมขอนแก่นออฟโรดเมื่อมีน้องใหม่เข้ามาเป็นสมาชิก ก็ต้องมีการจัดทริปเพื่อต้อนรับกันแบบหอมปากหอมคอ โดยในครั้งนี้เราได้วางแผนไว้ในช่วงเดือนมีนาคม2561 สถานที่ก็คือ ภูโน อ.กระนวน จ.ขอนแก่น ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองห่างออกไปประมาณ 70 กม. ก็จะถึงแหล่งท่องเที่ยวเส้นทางออฟโรดที่กำลังขึ้นชื่อของขอนแก่นเรา หลายๆคนคงนึกภาพช่วงฤดูร้อนของภาคอีสานออกว่าจะเป็นแบบไหนแสงแดด ฝุ่น และควันที่เกิดจากการเผาทำลายพื้นที่เพื่อทำการเพาะปลูกตามฤดูกาล ในครั้งนี้ชมรมขอนแก่นออฟโรดได้รวบรวมสมาชิกทั้งเก่าและใหม่ได้ถึง 20 คัน พร้อมที่จะลุยกันไปท่องเที่ยวออกกำลังเกียร์ กับการพิชิตเส้นทางที่เต็มไปด้วยหินและป่าทึบ
ในวันเดินทางเรารวมตัวกันที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติบ้านบุณ แหล่งเรียนรู้เกษตรของชาวบ้านตามรอยวิถีเศษฐกิจพอเพียง เจ้าของพื้นที่ศูนย์นี้ก็เป็นสมาชิกของชมรมรหัส66 (หิ่งห้อย) ระหว่างการรอสมาชิกให้ครบนั้นก็ได้ทำกับข้าวแจกจ่ายกันเพื่อเป็นเสบียงในตอนเที่ยง ในทริปนี้จะไม่กล่าวถึงก็คงไม่ได้ เพราะมาด้วยใจจริงๆ เพราะต้องเดินทางไป-กลับกว่า 600 กม. คือ สมศักดิ์ ชินวงษากุล หรือ เฮียอ้วน สมาชิกกิตติมศักดิ์ของชมรม เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็เริ่มออกเดินทางโดยผ่านทางเข้าสถานที่ท่องเที่ยวอย่างน้ำตกบ๋าหลวง ก่อนที่แยกลงไปในเส้นทางลูกรัง(ทางอีสานเรียกว่า ทางขี้หินแห่) ขับไปประมาณ10กว่ากิโลเมตร ก็จะเห็นภูเขาที่อยู่ข้างหน้าจุดหมายของเรา ภูโน ซึ่งเส้นทางโดยรวมจะเป็นทางขึ้นเขามีทั้ง ชันเล็กน้อย ชันปานกลาง และชันมาก ตลอดจนมีหนองน้ำขนาดใหญ่ซึ่งในหน้าฝนก็จะเป็นปัญหาหลักของเส้นทางเส้นนี้ขวางกั้นไว้ แต่ในช่วงนี้ฤดูร้อนน้ำจะเหือดแห้งหายไปหมด
เราขับตามกันเป็นขบวนตามเส้นทางที่เริ่มไต่ระดับขึ้นเขาไปเรื่อยๆ จนเจอกับอุปสรรคแรกนั่นก็คือ ทางลงลาดชันความสูงหน้าจะอยู่ที่ประมาณสิบกว่าเมตร ความลาดชันของมันถือว่าได้ใจจริงๆ จนต้องส่งคนมากคนลงไปดูก่อน เพื่อหาผู้กล้างที่จะโรยตัวลงไปก่อน ในที่สุดโจ กระนวน กับรถคู่ใจคาริเบี้ยนคู่ใจขอลองดูนำรถเปิดทางลงไปก่อนอย่างระมัดระวังครั้นไหลลงไปได้สักพักใหญ่ รถคันเก่งก็ต้องหยุดชะงักเนื่องจากไปชนตอไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยหญ้าที่สูง ถอยหลังก็ไม่ได้เดินหน้าก็ไม่ได้ติดอยู่กึ่งกลางเนิน ต้องให้รถอีกคันมาช่วยวิ้นช์ดึงขึ้น กระทั่งผ่านมาได้ แต่ก็ใช้เวลาไปเกือบๆ ชั่วโมง จุดนี้เองกินเวลาพวกเราไป 3-4 ชม.กับรถ 20 คัน
ผมได้มีโอกาสสอบถามสมาชิกใหม่ที่ร่วมเดินทางครั้งแรก เขาว่า “พี่ผมกลับได้ไหม” ด้วยอากาศที่ร้อนบวกกับเส้นทางแค่จุดแรกกินเวลาไปกว่าครึ่งวัน มันก็เลยบั่นทอนจิตใจของสมาชิกใหม่พอสมควร แต่จากความร่วมแรงร่วมใจของทุกคน ทำให้เราผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้ จนมาพักทานอาหารกลางวันในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา และเดินทางต่อไปยังจุดที่ 2 ซึ่งต่างจากจุดแรกคือ เป็นทางขึ้น-ลงเขาชัน ซึ่งจุดนี้เล่นเอาถึงกับเหงื่อไหลเป็นทางกันทีเดียว ปัญหาหลักของจุดนี้คือ ตรงยอดเนินที่จะขึ้นจะเป็นหลุมสลับ ช่วงล่างจะบิดเป็นตัว X รถที่ช่วงล่างยีด-ยุบ ไม่ดี ก็ต้องใช้วินช์ดึงขึ้นไปแทน เพราะไม่อยากแลกกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน แต่ละคันก็ผ่านไปได้ด้วยดี
แค่ทางขึ้นก็ใช้เวลามากพอสมควร นี่แค่ในช่วงฤดูร้อนนะครับ ถ้าหน้าฝนไม่อยากจะคิดว่าเราจะต้องวินช์กันกี่ครั้ง จากเนินชันดังกล่าว ก็ใช่ว่าจะหมดอุปสรรค เราต้องเจอกับเนินชันอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ชันมากนักแต่ปลายทางลงมันเป็นทางบังคับเลี้ยวหากผิดพลาดก็มีเจ็บนิดๆ และก็เจ้าเดิมขาประจำที่ชอบทำอะไรก่อน โจ กระนวนจัดให้ตามคำเรียกร้องของน้องใหม่ ที่แค่มายืนมองก็ใจเต้นหวิวๆ กันแล้ว ลงกันไปได้เกินกว่าครึ่งแล้ว จนมาถึงคิวน้องใหม่อีกคน แม็กซิส น้องใหม่รหัส 100 ที่มาพร้อมกับรถแลนด์กระบะช่วงสั้นควบด้วยเครื่อง 3200 อีซูซุตัวแรง ก็อยากลองของโดยมองหาไลน์เองไม่อยากลงทางซ้ำใคร (ลงเฉยๆ ลงดีๆ โลกไม่จำ) พี่แกก็จัดการเปิดไลน์ใหม่ที่หลายๆ คน คาดว่าต้องได้ช็อตเด็ดแน่นอน โดยมี โจ กระนวนกับวัฒนา สองหนุ่มขาเลาะประจำชมรมคอยบอกไลน์ ครั้นเมื่อลงมายังพื้นที่ราบด้านล่างได้ แกก็ตะโกนสะใจเหมือนถูกรางวัลที่หนึ่งเลยทีเดียว
บ่ายแก่ๆ รถคันสุดท้ายก็ลงมายังด้านล่างอย่างปลอดภัย หันหลังมองย้อนเส้นทางเราผ่านมาเมื่อสักครู่ พระอาทิตย์สีแดงฉานกำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงแดดที่ร้อนแรงเริ่มโรยแสงอ่อนล้า พร้อมๆ กับฝุ่นที่ฝุ้งกระจายจากการตะกายของร่องรอยล้อค่อยๆ จางหายไป อย่างไรก็ตามบนเส้นทางนี้ยังคงเหลืออีกถึง 2 จุดด้วยกัน ที่เรายังเดินทางไปไม่ถึง และถ้าวันนี้เราจะเดินทางต่อก็คงมืดค่ำพอดี บวกกับเสบียงกรังที่เราจัดเตรียมมาก็เริ่มหมดลง และที่สำคัญมีเด็กเล็กมาร่วมในทริปนี้ด้วย ก็เลยตัดสินใจขอค้างเอาไว้ก่อนในทริปหน้า ทริปนี้เอาแบบหอมปากหอมคอก่อน
ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณสมาชิกทุกคน รวมถึงเฮียอ้วน สุรินทร์ ที่เดินทางมาเช้า เย็นกลับ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า ดินแดนอีสานยังคงรอต้อนรับพี่ๆเพื่อนๆน้องๆ สายออฟโรดทุกท่าน เพราะมิตรภาพของชาวออฟดรดเราไม่ได้มีที่สิ้นสุด หากว่าใจเราไม่หยุดที่จะเดินหามัน
เรื่อง : เบียร์ ขอนแก่นออฟโรด
ภาพ : เบียร์ ขอนแก่นออฟโรด /โจ53 ขอนแก่นออฟโรด
เรียบเรียงข้อมูลโดย Off Road Magazine
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ Off Road Magazine
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.