ภูบักได…มนต์เสน่ห์แห่งเส้นทางออฟโรด เมืองเลย
เรื่องราวทั้งหมดของการเดินทางในทริปนี้ ผมได้รับแรงบันดาลใจ จากเพื่อนออฟโรดคนหนึ่ง ที่ผมรู้จัก ในนาม คุณอ่าง เมืองเลย ได้เชื้อเชิญให้ผมได้มาลองสัมผัสกับเส้นทาง ในดินแดนบ้านเกิดเมืองนอน ที่ผมรอนแรมห่างหายไปเกือบ 20 ปี แม้จะได้ทำกิจกรรมออฟโรดมากมายในเมืองเลย แต่หากเป็นทริปเพียวๆ โดดๆ ยังไม่เคย
จุดเริ่มจากการได้พูดคุยกันว่าอยากจะพิชิตต้นมะค่ายักษ์ เส้นรอบวงกว่า 10 คนโอบอายุกว่า 200 ปี และแล้วทริปนั้นก็โดนแทรกด้วยทริปพิชิตภูบักได ก่อน .. แน่นอนครับไม่ว่าเส้นทางไหน ที่นี่ ยังคงท้าทายเสมอและเป็นเส้นทางที่อยู่ในความใฝ่ฝันผมเมื่อหลายปีก่อน ที่อยากจะหาเส้นทางท่องเที่ยงเชิงออฟโรดให้ได้มากกว่า 10 เส้นทางในระยะ 4-5 ปีนี้ และทริปนี้เป็นจุดเริ่มต้นนับหนึ่งของผม “ภูบักได”
ปลายฝนต้นหนาวปีนี้ ที่นี่สดชื่นกว่าทุกปีในความรู้สึกส่วนตัว ผมเดินทางออกจากกระท่อมน้อยปลายนาที่บ้านเกิด อ.ท่าลี่ จ.เลย สู่เส้นทางสูงชัน ทิ้งทะเลหมอกไว้เบื้องล่าง สู่ อ.ภูเรือ ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร เพื่อพบกับเพื่อน พี่ น้อง ชมรมคนเลยออฟโรด ป๋าเจี้ยบ (ไพฑูรย์ สนธิวัฒน์ตระกูล) ประธานชมรมคนเลยออฟโรด เจ้าของพื้นที่ อ.ภูเรือ รอรับสมาชิกสมทบอีก 6 คัน ร่วมวางแผนเส้นทาง ประเมินความยากง่าย และจัดเรียงลำดับรถตามความพร้อม เพราะเส้นทางที่เราจะไปจากคำบอกเล่าของผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นแถวนั้นบอกว่า มีเฮฮาแน่นอน เตรียมเช็ควินซ์ได้เลย อือๆๆๆ…รู้สึกดีขึ้นมาเลยเชียว !!
เราเริ่มต้นจากหน้าที่ว่าการอำเภอภูเรือ แยกลงไปยังเส้นทางหมายเลข 3008 ข้างๆโรงเรียนชุมชนภูเรือ เพื่อมุ่งสู่หมู่บ้านกลาง จุดเริ่มต้นของเส้นทางออฟโรด ยอดภูบักได เส้นทางคด แคบ เพียงแค่ออกจากหมู่บ้านกลางไปได้นิดหน่อย สองข้างทางเต็มไปด้วยป่ายางพาราและเส้นทางการเกษตรที่มองด้วยตาต้องเป็นรถยนต์ออฟโรดเท่านั้นที่จะเข้ามาได้ ขนาดยาง Mud. 31 นิ้วของจิมนี่ ป๋าเจี้ยบ ยังจมมิดล้อเลยในช่วงเริ่มแรกของเชิงเขา ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า สภาพพื้นดินของพื้นที่ระแวกนี้ แม้จะเป็นช่วงปลายฝน ต้นหนาวแล้ว ความดิบเถื่อน เหนียวหนึบของดิน ยังคงท้าทายแขกผู้มาเยือนเสมอ
ป่าดิบดงกล้วย น้ำซับป่าไผ่ พร้อมที่จะพาเราสไลด์ลงเหวในยามที่ดีกรีในกระแสเลือดถึงขีดขั้น นั่นจะเป็นจุดที่อันตรายทีเดียว ภูเขาลูกเล็กลูกน้อย ยามเราขับผ่าน จะมองเห็นสายฝนดำทะมึน รออยู่ที่จุดหมายปลายทาง จนเกิดความคิดต่างๆ นานาตลอดเส้นทาง ว่าเราจะผ่านพ้นอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ไหม และจะเล่าเรื่องราวได้ตลอดเส้นทางหรือไม่ เพราะหลายๆ ครั้งที่ชมรมคนเลยออฟโรดและอีกหลายกลุ่ม พยายามพิชิตยอดภูบักไดแห่งนี้และยังไม่สำเร็จในฤดูฝน และเป็นความโชคดีของผมที่ได้ลิ้มลองรสชาตินี้
…เริ่มไต่สันเขา ยาวๆ ลื่นๆ แต่ยังพอเอาอยู่ในช่วงแรกๆ ความนุ่มลื่นของมันเริ่มสำแดงเดชในช่องแคบป๊อบคอร์น กลางไร่ข้าวโพดที่สูงชันเอาเรื่อง ทุกคนได้รีดพลังม้าศึกกันถ้วนหน้า แต่ยังไงซะความงามของธรรมชาติยังคงเหลืออยู่รอบตัว สายหมอก ปรอยฝน ด้านหน้า บรรเทาความเหนื่อยให้เราสดชื่นขึ้นมาได้ กลุ่มเมฆที่คลอเคลียภูหลวงด้านหลัง เป็นแบ็คกราวด์ ที่สวยงามจริงๆจนขบวนออฟโรดเราต้องหยุดบันทึกภาพความทรงจำเก็บไว้ ดื่มด่ำสายหมอก จนปอดบวม น้ำแข็งในแก้วน้ำชา เริ่มเจือจาง เสียงเครื่องยนต์สะอึกด้วยรอบเดินเบาที่นานเกินไป เร่งเร้าให้เราเดินทางต่อในอีกระยะมากกว่าครึ่งค่อนทาง ความรกของชายป่า เริ่มปกคลุมทางหลักเอาไว้ จนทำให้เราต้องใช้ความระมัดระวังเป็น 2 เท่า ทั้งทางลื่น ขึ้นเนินชัน และหุบเหวด้านซ้ายที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าระดับศีรษะ ปิดบังความน่ากลัวเอาไว้
ความยาวของเนินชันและเลี้ยวโค้งหักศอกเป็นอุปสรรคขึ้นสูงและวัดใจ วัดเครื่องยนต์ว่าของใครจะหายใจได้ยาวกว่ากัน บางคันเจอหินลอย รถกำลังเหลือแต่ไม่ขยับไปไหน บางคันไปได้ครึ่งเนินก็ต้องยอมแพ้ ไม่ยอมดิ้น เพราะมองเห็นเงาตนเองอยู่ข้างล่างเหวนั้น โดยเฉพาะผม อิอิ ก็ต้องพึ่งพา วินซ์เงินสด มือสอง ช่วยตนเองขึ้นมา รวมถึง เสี่ยนนท์ นนทะปะ เจ้าพ่อรับเหมาก่อสร้าง แห่งเมืองเลยลงแส้ม้าศึกอย่างสปอร์ตไรเดอร์ สู้ไม่ถอยกับเนินนี้ ซึ่งทีมงานคนเลยออฟโรดทุกคันต้องคอยมาลุ้นเอาใจช่วย ยืนจิบน้ำชา สีทอง ให้กำลังใจเพื่อนๆ
ความหวาดเสียวแบบ เหนียวๆลื่นๆ ยังไม่หมด ด้วยสภาพผืนป่าที่ชุ่มฝนมานาน มันเป็นอะไรที่พูดยาก หากจะบังคับพวงมาลัยให้ไปตามสั่ง อาการไม่สัมพันธ์กับล้อหลัง มีให้เห็นตลอดเวลา ต้องมีสมาธิอย่างมาก ความเร็วไม่ต้องพูดถึงครับเรียกว่าเดินเร็วกว่าแน่นอน จนเราเริ่มตามขบวนหน้าไม่ทัน รถของผู้กองชู (ปรีชา คำชู) กับรถของรองต้อม (กิติพงษ์ มาลาอ่อน) 2 ตัวเต็งที่มีสิทธิ์จะเข้าวินก่อนเพื่อน เริ่มทิ้งห่างขบวน ด้วยน้ำมันชนิดพิเศษ ที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์เป็นหลัก แต่มิวายที่เสี่ยนนท์ จะหายใจรดต้นคอได้ในเนินแห่งความทรงจำ เนินนี้ ..ยังไง…ค่อยเล่า ย้อนภาพ กลับมาที่ขบวนหลังกันต่อ
..เนินสไลเดอร์ จุดสังเวยแก้มขวาของรถใครๆหลายคัน ยาวๆ ลื่นๆ เอียงๆ โค้งๆ จะไปไหนเสีย ไหลไม่ต้องเบรกให้เมื่อยน่อง ทุกอย่างฝากความหวังไว้ที่ต้นไม้ขนาดเท่าต้นขา ต้นนั้น ได้เลย อ้าววว เฮ ….ตั๊บบบบบ !!! โดยเฉพาะรถไทรทันดำทมิฬ ของเสี่ยอ่าง เมืองเลย ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง “ถ้าไม่มีต้นไม้ต้นนี้เราคงลงไปถึงน้ำตกได้เร็วขึ้นนะ แต่สภาพยังไง อีกเรื่อง”
บ่ายโมงตรง เรามาได้ครึ่งทางที่ลำธารน้ำชับป่ากล้วย น้ำตกเล็กเล็กๆแต่เย็นเฉียบ คงต้องพักรถ พักคน เสบียงเท่าที่หาได้ กินกันแบบคนป่า กับโคลนเลน ทากตัวน้อยกระดึบๆมาเป็นเพื่อน สายน้ำใสเย็นเจี้ยบ อดใจไม่ได้ที่จะต้องเอาน้ำชาในขวดหกเหลี่ยมลงไปแช่ แบบไม่ต้องใส่น้ำแข็ง มันได้อารมณ์ป๋าเปี๊ยกจริงๆ
กลุ่มแรก 3 คัน กล้าตาย 2 ชั่วโมงยังไม่ไปถึงไหน เสียงเครื่องยนต์ยังคำรามไกลๆเป็นระยะๆ มานานมากแล้วนะ ชักใจไม่ดี เลยเดินขึ้นไปดู โอ้วววว สัก400 เมตรได้ มันชันขนาดเอาคนกลิ้งลงมาแบบไม่ตั้งตัวได้เลย ไม่รู้จะเรียกเนินอะไรดี น่าจะเป็นจุดไคลแมกซ์ของทริปนี้ ที่เราเอาเวลาทั้ง 7 ชั่วโมง ตั้งแต่บ่ายสามโมงกว่า จนถึงห้าทุ่ม ค่อยไหลขึ้นเนินทีละนิ้ว จากแรงดึงวินซ์ บางช่วงฝนกระหน่ำลงมาเหมือนกลั่นแกล้ง ยิ่งเหน็บหนาวเข้าไปใหญ่ หมอกสี่โมงเย็นไม่เคยเห็นก็ได้เห็น เสื้อผ้าที่เตรียมมาเริ่มมีสภาพเหมือนกันหมด เปียกโคลน ความลื่นและดินเหนียวมันควบคุมรถได้ยากมากๆ มากกว่าการปีนหินเป็นไหนๆ รองต้อมการันตีได้พร้อมกับพยักหน้ารับสภาพ หลังจากรถตกลงไปในร่องทางน้ำ ตอนพยายามหันหัวกับมาดึงเพื่อน
บอบช้ำที่สุดเห็นจะเป็น โตโยต้า สปอร์ตไรเดอร์ ของเสี่ยนนท์ ด้วยน้ำหนักตัวที่มากว่าใครเพื่อน ทำให้แรงกระชากลงสู่เพลาขับเยอะตามไปด้วย ถึงกับเพลากระจุยกระจาย และรอบเครื่องที่สูงจัดตลอดเวลาตอนปั่นขึ้นเนินนี้และเรียกพลังให้วินซ์ ทำให้หม้อน้ำเกิดความร้อนสะสมแรงดันตามมา แตกกับที่เลย จอดนิ่งสนิทสิครับ แม่แต่สองคันที่ผ่านขึ้นไปก่อนหน้านั้นก็หมดสิทธิ์หันกลับมาช่วยเพราะรถผู้กองก็ติดกับดักโคลนเช่นเดียวกัน เอาไง
ยิ่งปั่น ยิ่งถอย โรดิโอ ของเสี่ยโจ กิตติพงษ์ ยิ่งวินซ์ไฟก็จะหมดตามไปด้วย ต้องวินซ์ไปทีละ ฟุต เหลือระยะทางอีก 300 เมตรพ้นเนิน เวลานี้ 20.40 น. เหลืออีก 4 คัน ความมืดปกคลุมมานานแล้ว ไม่รู้หมอกหรือฝน มาปะปนกันอยู่รอบตัวเรา มันทั้งเหงา และน่ากลัว ทั้งเหนื่อย ขาเริ่มสั่นจากการเดินขึ้นลงเนินโคลนที่ล้มลุกคลุกคลานเป็นสิบๆรอบเพื่อช่วยดึงวินซ์ช่วยเหลือกัน เข่าอ่อนสิครับ ความเหนื่อยล้ามาเยือน จนเราทุกคน ทุกคัน ต้องหันหน้าเข้ามาประชุมวางแผนกันใหม่ จากจุดนี้ไปยอดภูบักได ในคืนนี้เป็นอันต้องพับโครงการชั่วคราวออกไป เพราะสภาพรถหลายคันไม่พร้อมในการเดินทางกลางคืน และระยทางประมาณนี้ พรุ่งนี้เช้าก็ไม่ถึง เราต้องเอาชีวิตให้รอดออกไปถึงหน่วยเจ้าหน้าที่รักษาต้นน้ำและป่าที่ห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตรด้านซ้ายมือให้ได้ซะก่อนเพราะจากจุดนี้ห่างจากหมู่บ้านกลาง จุดเริ่มต้นแต่คนละทางกับที่เรามากว่า 2 ชั่วโมง เราต้องใช้บริการ Super offroad ของคนในพื้นที่ถึง 2 คันกว่าจะกู้และช่วยเหลือรถออฟโรด ทั้ง 5 คันที่เหลือให้หลุดจากเนินโคลนแห่งนี้ได้ แน่นอนครับ มันยังเป็นคำถามที่รอคำตอบให้ชมรมคนเลยออฟโรดได้หาข้อเฉลยกันต่อไปพร้อมกับเพื่อนๆชมรมออฟโรดต่างถิ่นต่างชมรมมาพิสูจน์ความขลัง ความทะเยอทะยาน ในเส้นทางออฟโรดภูบักได ในฤดูฝนเช่นนี้ว่ามันสนุกสนานและท้าทายเพียงใด เหมือนที่ผม ได้รับมัน ในค่ำคืนนี้
เรื่อง/ภาพ : อนุชา ไชยเลิศ
เรียบเรียงข้อมูลโดย Off Road Magazine
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ Off Road Magazine
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.