นอนกลางดิน กินกลางป่า เสาะหาธรรมชาติ ที่ปากเซ-ปากซอง-อัตตปือ

 “ถ้าอยากดูวิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรมต้องไปลาวกลางกับลาวเหนือ แต่ถ้าจะดูธรรมชาติต้องไปลาวใต้” หลายๆ คนเคยบอกเอาไว้อย่างนั้น ซึ่งก็น่าจะจริง แต่ก็ไม่ทั้งหมด…

ด้วยว่าทรัพยากรทางด้านการท่องเที่ยวของลาว ไม่ว่าจะเป็น ลาวเหนือ ลาวกลาง ลาวใต้ มีอยู่ค่อนข้างมาก ทั้งสถานที่ทางธรรมชาติอันงดงามและบริสุทธิ์ วิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรมของผู้คนก็อัตลักษณ์เฉพาะตัว ตั้งอยู่บนความเรียบง่าย ใสซื่อ และบริสุทธิ์ กลายเป็นเสน่ห์และเป็นจุดขายสำคัญของลาว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทยเราเอง สามารถสื่อสารและพูดคุยกันได้ เนื่องจากมีภาษาที่ใกล้เคียงกัน

ขยับให้แคบลงมานิด ที่ลาวใต้ แน่นอนว่าทุกคนมักจะนึกถึง เมืองปากเซ…เมืองเอกของแขวงจำปาศักดิ์ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ซึ่งที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะ น้ำตกคอนพะเพ็ง น้ำตกหลี่ผี ปราสาทหินวัดพู น้ำตากตาดฟาน น้ำตกตาดเยือง น้ำตกผาส้วม และน้ำตกเซกะตาม  ทั้งหมดล้วนตั้งอยู่ในดินแดนลาวใต้ทั้งสิ้น

และเมื่อวันที่ 11-13 ก.พ.2560 ที่ผ่านมา ทีมงานนิตยสารออฟโรดได้มีโอกาสเดินทางติดสอยห้อยตามคาราวาน นอนกลางดิน กินกลางป่า เสาะหาธรรมชาติ เส้นทางปากเซ-ปากซอง-อัตตะปือ ซึ่งจัดโดย KC อินโดไซน่า ทัวร์ ของ อานนท์ คำมรรค โดยมีรถเข้าร่วมเดินทางทั้งหมด 40 กว่าคัน ทั้งหมดมาจาก  FORD RANGER T6 UBON, NEW RANGER UBON, FORTUNER UBON, UNLIMITED UBUN CLUBS,  ชมรมจิ้มจิ๊ อุบลราชธานี, ชมรมคนเมืองป่า 4×4 อำนาจเจริญ, มงคลคาร์เซ็นเตอร์, ชมรมจิ้มจิ๊ อุบลราชธานี, ชมรมคนเมืองป่า 4×4 อำนาจเจริญ, มงคลคาร์เซ็นเตอร์ รวมทั้งชมรมออฟโรดจากสกลนครและร้อยเอ็ด และนายอำเภอพนา จ.อำนาจเจริญ เป็นทริปที่รถค่อนข้างเยอะพอสมควร ทำให้ต้องแบ่งรถเป็น 2 ขบวน เพื่อความคล่องตัวในการเดินทางสู่ลาวที่ต้องขับชิดขวา

เราออกเดินทางในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560 โดยมารวมตัวกันที่ อบต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร เพื่อจัดขบวนและออกเดินทางสู่ช่องเม็ก ด่านผ่านแดนเพียงแห่งเดียวที่ไม่มีแม่น้ำโขงขวางกั้นระหว่างไทย-ลาว ซึ่งวันนี้การจราจรที่ด่านทั้งฝั่งไทยและลาวค่อนข้างคึกคักพอสมควร เนื่องจากเป็นช่วงที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่อง หลังจากผ่านด่านตม.ช่องเม็กโดยใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ก็แวะรับตำรวจท่องเที่ยวและไกด์ของลาว ขบวนแรกก็ออกเดินทางผ่านเมืองโพนทอง และใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงเมืองปากเซ โดยมีด่านจ่ายค่าธรรมเนียมตั้งอยู่ก่อนสะพานลาว-ญี่ปุ่น ที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำโขง ซึ่งสมัยก่อนที่ยังไม่มีสะพาน ก็ต้องอาศัยข้ามแพขนานยนต์ จึงใช้เวลาค่อนข้างนานพอสมควร ผิดกับปัจจุบันถือว่าสะดวกสบายมาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตามมาพร้อมๆ กับสะพานที่เชื่อมต่อสองฝั่งก็คือ ความเจริญที่ทะลักเข้ามาสู่ปากเซอย่างไม่ขาดสาย ขบวนของเราขับต่อไปยังเมืองปากซอง ที่อยู่ห่างจากปากเซไปราว 50 กิโลเมตร เพื่อแวะทานอาหารกลางวันที่ สบายดี วัลเล่ พร้อมรอขบวนรถชุดสองซึ่งตามมาหลังมาห่างๆ

พูดถึงเมืองปากซองแล้ว แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโบโลเวน สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,300 เมตร พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นปากป่องภูเขาไฟในอดีต จึงมีอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี ใครไปเที่ยวปากซองคงไม่ต้องถามถึงแอร์ ให้ถามถึงน้ำอุ่นแทน ปัจจุบันปากซองเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของลาวใต้ นอกจากจะมีน้ำตกมากมายแล้ว เป็นเมืองที่ปลูกกาแฟเยอะมาก ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ “ดาวคอฟฟี่” ของกลุ่มบริษัทดาวเฮือง ที่คนไทยรู้จักกันดีในภาพยนตร์โฆษณาที่สาวสวยพูดว่า “เอิ้น…ดาวก่ะได้” รวมทั้งการนำเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ มาเป็นฟรีเซ็นเตอร์อีกด้วย

หลังทานอาหารกลางวันเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางสู่ที่หมายต่อไปอีกครั้ง และแบ่งเป็น 2 ขบวนเช่นเคย จากปากซอง ขวาไปยังบ้านหลักห้าหรือบ้านหนองหลวง จากแยกปากซองไปไม่กี่กิโลเมตร ก็ถึงบ้านของผู้ใหญ่คำสุข แก้วบัวพา ที่ยืนรอขบวนอยู่ก่อนแล้ว โดยผู้ใหญ่คำสุขได้ช่วยประสานงานกับอำเภอและแขวง ในการขออนุญาตขึ้นด้านบนหนองหลวง แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีแห่งหนึ่งของปากซอง

หนองหลวง หรือคนทั่วไปมักเรียกกันว่าด่านใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดงหัวสาว ครอบคลุมพื้นที่ป่าอันสมบูรณ์และสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ น้ำตกตาดขะมึด ที่ตั้งอยู่ด้านล่าง ที่นั่นมีการกิจกรรมแนวแอดเวนเจอร์ ทั้งการเล่น Zipline พักแรมที่บ้านบนต้นไม้ รวมทั้งการโรยตัวที่หน้าน้ำตกและการเดินป่า หนองหลวงอยู่ห่างจากบ้านหลักห้าราว 10 กิโลเมตร ซึ่งก่อนที่เราจะเดินทางเข้าไปก็ต้องฟังข้อควรปฏิบัติกันเล็กน้อย เนื่องจากด้านบนเป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติค่อนข้างเปราะบาง ในฤดูฝนจะปกคลุมด้วยสายหมอก  ตามทุ่งหญ้าและลานหิน จะเต็มไปด้วยไม้ดอกนานา โดยเฉพาะ ดอกเปราะภู ดุสิตาหม้อข้าวหม้อแกงลิง ฯลฯ แต่ในช่วงนี้มักจะเจอปัญหาเรื่องไฟป่าตลอด

เส้นทางช่วงแรกจะเป็นทางออฟโรดเบาๆ แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูฝนจะเข้าขั้นมหาโหด ทางราบๆ แต่เต็มไปด้วย ร่องน้ำและบ่อโคลนมากมาย เราขับไปอย่างช้าๆ เพราะฝุ่นที่หนาจนมองกันแทบไม่เห็น รวมทั้งต้องระวังรถอีแต๊กหรือรถการเกษตรของชาวบ้านวิ่งสวนไป-มาอยู่เรื่อยๆ จากการเข้าไปทำไร่กาแฟด้านใน กระทั่งหลุดจากไร่กาแฟของชาวบ้านก็เข้าสู่แนวป่าใหญ่ เส้นทางจะค่อยๆ ไต่ขึ้นสู่ยอดภูด้านบน ทุกคันขับตามกันไปแบบช้าๆ ตามเส้นทางเก่าของชาวบ้าน หลีกเลี่ยงการออกนอกเส้นทาง เพื่อไม่ให้เป็นการเบียดเบียนธรรมชาติ ชั่วไม่กี่อึดใจก็ถึงจุดพักแรมเป็นลานหินกว้างๆ ด้านบน พร้อมๆ กับการทักทายของสายลมหนาวในช่วงบ่ายแก่ๆ

เมื่อถึงยอดภูผมเดินเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบๆ โดยเดินไปตามขอบภู เพื่อหาจุดถ่ายภาพในมุมต่างๆ ซึ่งด้านบนนี้สามารรถมองเห็นน้ำตกดงใหญ่ที่ตั้งอยู่ฝั่งทิศตะวันออกได้อย่างชัดเจน รวมทั้งจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกที่มีเขาสามชั้นของภูโปร่งเป็นกั้นเอาไว้ ไกลออกไปเป็นแม่น้ำโขงที่ไหลคดเคี้ยวอยู่ด้านล่าง ทอแสงระยิบระยับยามเมื่อต้องแสงอาทิตย์ยามเย็น เก็บภาพอยู่พักใหญ่ จนทนกระแสลมที่ค่อนข้างแรงแรงและอากาศที่เริ่มเย็นอย่างรวดเร็ว หลังอาทิตย์อัสดงลาลับฟ้าไปแล้ว จึงเดินย้อนกลับมาจุดพักแรมที่อยู่ใกล้ๆ กางเกงสีครีมตอนนี้เต็มไปด้วยรอยดำจากเขม่าของทุ่งหญ้าและต้นไม้ที่ถูกไฟป่าเผา น่าเสียดายที่ตลอดตามรายทางพืชพันธุ์ไม้ต่างๆ โดยเฉพาะหม้อข้าวหม้อแกงลิง ถูกไฟเผาไปจนสิ้น จะเหลือก็เพียงเอื้องหินหรือเอื้องบายศรี ขึ้นเป็นกลุ่มๆ อยู่ตามโขดหินในบางจุด  ไม่แน่ใจว่าไฟป่าเกิดขึ้นเองจากธรรมชาติหรือฝีมือมนุษย์ แต่ที่แน่ๆ ธรรมชาติจำต้องรับผลของมันไปเต็มๆ

ความมืดมาเยือนเร็วกว่าปกติบนยอดดอย เช่นเดียวกับความหนาวก็มาเยือนแบบฉับพลัน ลมเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ พัดผ่านป่าสนเสียงหวีดหวิว อุณหภูมิลดลงเหลือแค่ 10 องศา ดังนั้นไม่เกินสี่ทุ่มเศษๆ ทั่วทั้งบริเวณลานแค้มป์จึงเงียบสงบ เพราะแต่ละคนทนกระแสลมที่แรงและความหนาวไม่ไหว ต้องมุดเข้าเต็นท์กันเป็นแถว

รุ่งเช้าเราหลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ก็ทะยอยลงมาอาบน้ำและเข้าห้องน้ำที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านและของชาวบ้าน เนื่องจากด้านบนหนองหลวงไม่มีห้องน้ำ พร้อมกับแยกย้ายไปหาอาหารกลางวันทานกันตามอัธยาศัยจนกระทั่งเที่ยงเศษๆ ก็เคลื่อนขบวนต่อไปยังน้ำตกแซพระ ที่อยู่ห่างจากบ้านหลักห้าไปราว 55 กิโลเมตร โดยใช้เส้นทางเดียวกับทางไปเมืองประทุมพร ขับมาได้ราว 20 กิโลเมตร เราเลี้ยวซ้ายต่อไปยังเมืองสนามชัย หากเลี้ยวขวาไปเมืองประทุมพร เส้นทางช่วงแรกเป็นทางลาดยาง จากนั้นเป็นทางฝุ่นตลอด บางช่วงอยู่ในระหว่างการก่อสร้างทาง และก่อนถึงน้ำตกแซพะก็ต้องข้ามลำห้วยทั้งหมด 3 ห้วย ได้ออกกำลังเกียร์กันพอหอมปากหอมคอ

ราวชั่วโมงเศษๆ ขบวนทั้งหมดก็ผ่าทะเลฝุ่นป่าเข้าสู่เขตป่าป้องกันแหล่งน้ำเซเปี่ยน อันเป็นที่ตั้งของน้ำตกแซพระ ในเขตสัมปทานของนักธุรกิจชาวปากเซ ที่เข้ามาพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของลาว ซึ่งปัจจุบันนี้มีนักท่องเที่ยวรู้จักกันน้อยมาก ทั้งๆ ที่เขตป่าป้องกันแหล่งน้ำเซเปี่ยน เป็นจุดที่มีธรรมชาติสมบูรณ์และบริสุทธิ์มาก ปกคลุมด้วยเรือนไม้ใหญ่ เงียบสงบ สวยงาม เหมาะสำหรับการพักแรมกลางวงล้อมแห่งธรรมชาติ ตัวน้ำตกแซพะจะอยู่บริเวณตอนล่างของจุดพักแรม จะเดินหรือขับรถอ้อมเขาไปชมก็ได้

แต่ไฮไลท์จริงๆ ของที่นี่ก็คือ น้ำตกแซป่องไล ที่อยู่ห่างจากจุดพักแรมไปราว 6 กิโลเมตร ความยิ่งใหญ่และอลังการของน้ำตกแห่งนี้  สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก

น้ำตกแซป่องไล หรือตาดป่องไลแห่งนี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่แกะกล่องของลาวใต้ ที่แม้แต่คนในพื้นที่เองยังไม่รู้จัก ผมพยายามหาข้อมูล ภาพถ่าย ของเซป่องไลในเว็ปไซต์ต่างๆ ทั้งของไทยและลาว ไม่ปรากฏว่าข้อมูลของน้ำตกแห่งนี้แม้แต่น้อย แสดงว่าใหม่จริงๆ  น้ำตกแซป่องไลเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สายน้ำที่ไหลกระโจนลงมาตามธารลาวาเก่าที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมป้านแผ่กระจายเต็มแผ่นผา มีความกว้างมากกว่า 60 เมตร คะเนจากสายตาความสูงของน้ำตกไม่น่าจะต่ำกว่า 20 เมตร แต่ชั้นด้านขวาสุดน่าจะสูงเกือบๆ 30 เมตร ตามโขดผาหน้าน้ำตก ถูกแต่งแต้มด้วยกลุ่มมอสขนาดใหญ่สีเขียวสด ตัดกับสายน้ำสีขาวบริสุทธิ์ และหน้าผาสีดำทะมึน สวยงามลงตัวราวกับสวรรค์ปั้นแต่ง แม้ว่าช่วงนี้จะเริ่มเข้าสู่ต้นฤดูแล้งแล้วก็ตาม หากเป็นช่วงฤดูฝนแทบไม่ต้องคิดมากเลยว่าจะอลังการกว่านี่หลายเท่าตัว บางคนถึงขนาดบอกว่า มันน่าจะเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในลาวเท่าที่เคยเห็นมา

เราโปกมือลาน้ำตกเซป่องไลอย่างอาลัยอาวรณ์เมื่อช่วงสายๆ เดินทางย้อนกลับมาทานอาหารกลางวันกันที่น้ำตกผาส้วม บางส่วนก็ล่วงหน้ามาหาเฝ๋อทานกันที่ปากเซ ก่อนจะทะยอยเดินทางกลับสู่ไทยในช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560 หลังเก็บความประทับใจและประสบการณ์แห่งความสุขกลับมาตุภูมิเต็มกระเป๋า

สุดท้ายต้องขอขอบคุณ มงคล จุลทัศน์ หรือ เสี่ยนาย-น้องเมย์ แห่งมงคลคาร์เซ็นเตอร์ ประวัติ หน่อแก้ว (ต่าย-หนุ่ย) จากคนเมืองป่า จ.อำนาจเจริญ อานนท์ คำมรรค แห่ง KC อินโดไซน่า ทัวร์ รวมทั้งน้องอ๊อฟ สารถึที่ช่วยขับรถ ตลอดจนคณะผู้ร่วมทางทุกท่านที่ให้การต้อนรับและดูแลเป็นอย่างดี และที่ลืมไม่ได้ ก็คือ บริษัท อีซูซุ อึ้งง่วนไต๋ สุพรรณฯ จำกัด ที่ให้ยืมรถคันใหม่แกะกล่อง Isuzu V-Cross Max 4X4 ในการเดินทางไปครั้งนี้

 

 

 

เรื่อง/ภาพ : กองบรรณาธิการ

เรียบเรียงข้อมูลโดย Off Road Magazine

ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ Off Road Magazine

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    Cookies Details

Save