NEW GWM POER SAHAR DIESEL ถูกใจสายแบก ช่วงล่างเพื่อการบรรทุกโดยเฉพาะ
GWM เป็นผู้เล่นที่ใจถึงและมีของดีไม่น้อย ที่ผ่านมาอาจจะยังเป็นช่วงตั้งไข่ ผ่านบททดสอบมากมาย มาถึงวันนี้รู้ตัวแล้วว่าควรจะลุยตลาดในแบบไหน ถือว่ามีเลือกนักสู้ใช้ได้ แม้ว่าตลาดรถกระบะเมืองไทยจะเขี้ยวขนาดไหน ยังขอลุยด้วยความมั่นใจในขุมพลังดีเซล ซึ่งการเผยโฉมของ NEW GWM POER SAHAR DIESEL ทำให้เกิดความคาดหวังว่า น่าจะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่าขุมพลังแบบไฮบริดอย่างรุ่นที่ทำตลาดมาก่อนหน้านี้

การทดลองขับครั้งนี้เป็นแบบเช้าไปเย็นกลับ เส้นทางรามอินทราไปยังคลองมะเดื่อ นครนายก แต่รถที่ได้ขับกลับโหดกว่าปกติ เพราะเป็นรุ่น 2.4T ULTRA DOUBLE CAB AUTO 4WD แบบโหลดเต็มพื้นที่ด้วยเต็นท์หลังคารถ 2 ชั้น ปรับไฟฟ้า และ awning แบบ 180 องศา รวมน้ำหนักร่วม 200 กิโลกรัม พร้อมยาง Toyo Tires Open Country R/T ขนาด 305/55 R20 นั่นทำให้การขับทดสอบครั้งนี้ไม่ใช่การขับด้วยรถสแตนดาร์ด จะเป็นการขับแบบรถที่ถูกใช้งานจริง แต่ถึงอย่างนั้น ทำให้เห็นผลของการทดลองขับที่เหมือนกับการขับใช้งานในสายแบกหรือสายแคมป์เช่นกัน


มาดูสิ่งที่ GWM อัปเกรดให้ NEW GWM POER SAHAR DIESEL สักหน่อย เริ่มจากใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนใหม่ล่าสุด และพัฒนารุ่น 2WD และ 4WD สำหรับตลาดไทยโดยเฉพาะ เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนไทย พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน (VGT) และเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9AT) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนอากาศ พละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องเพียง 1,500 – 2,500 รอบต่อนาที และยังมีระบบหัวฉีดแรงดันสูง 2,000 บาร์ อีกด้วย ซึ่งจุดนี้อาจมีข้อสงสัยว่า จริงๆ แล้วเทคโนโลยีที่ GWM มีสามารถอัดแรงดันให้สูงกว่า 2,000 บาร์ ได้ ทำไมไม่ทำ คำตอบคือ ทำได้..แต่แรงดัน 2,000 บาร์ นั้นมากเพียงพอต่อการใช้งานอยู่แล้ว ซึ่งหากปรับให้สูงกว่านี้ต้องมีต้นทุนและค่าการพัฒนาที่สูงกว่า จะมีผลต่อต้นทุนด้านราคานั่นเอง

มีการปรับจูนช่วงล่างให้เหมาะกับสภาพถนนเมืองไทย พฤติกรรมการขับขี่ของคนไทย รวมทั้งปรับดีไซน์ภายนอกให้ดูสปอร์ตและดุดันมากยิ่งขึ้น ด้วยกระจังหน้าและโลโก้ POER สีดำ ล้ออัลลอยสีดำ ไฟหน้าและไฟท้ายแบบรมดำ กรอบหน้าต่างสีดำ บันไดข้างสีดำ และติดตั้งหน้าจอกลางขนาดใหญ่ 14.6 นิ้ว พร้อม หน่วยความจำขนาดใหญ่ 128 GB และ ซอฟต์แวร์ใหม่ เพิ่มความสะดวกสบาย และประสบการณ์การขับขี่ที่ทันสมัย รวดเร็ว ทันใจ ทัชสกรีนติดมือและไวจริงๆ

ด้านจุดเด่นหลักมี 4 ประเด็น
1.High performance & Fuel efficiency สมรรถนะสูง พร้อมอัตราการบริโภคน้ำมันที่มีประสิทธิภาพแรงม้าและแรงบิดสูงในรอบต่ำ มอบการตอบสนองที่เร็วและทันใจเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด มีอัตราการทดเกียร์ต่ำ มอบการเปลี่ยนเกียร์ที่ราบรื่น (เกียร์ 9 ที่ความเร็วเพียง 90 กม./ชม.) อัตราการบริโภคน้ำมันที่ประหยัดมากขึ้น (14 กม./ลิตร สำหรับรุ่น 2WD และ 13.5 กม./ลิตร สำหรับ 4WD) ด้านการควบคุม NVH มอบการขับขี่ที่นิ่ง เงียบ และนุ่มนวล
2.All terrain capability โหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ (2WD – Eco/ Normal/ Sport, 4WD – 2H, 4H, 4L) มุมไต่ มุมฉาก ที่เหมาะกับการผจญภัย พร้อมระยะสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ (ground clearance) ที่ 224 มิลลิเมตร ลุยน้ำได้สูงสุดถึง 800 มิลลิเมตร ติดตั้งกล้อง 360 องศา พร้อมระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ ช่วยให้การขับขี่ในพื้นที่ยากลำบากเป็นไปได้อย่างง่ายดาย
3.Premium & Comfort ความพรีเมียม และความสะดวกสบาย ด้วยตัวรถขนาดใหญ่ที่สุดใน class และระยะฐานล้อที่กว้างที่สุด 3350 มิลลิเมตร ห้องโดยสารที่มอบประสบการณ์ขั้นกว่า จอมัลติมีเดียขนาดใหญ่ 14.6 นิ้ว จอแสดงผลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว และการแสดงผลแบบ 2 หน้าจอ technology dual screen เบาะหนังสังเคราะห์พรีเมียม นั่งสบาย ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เบาะหลังปรับเอนได้ 33 องศา ระบบควบคุมเกียร์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ติดตั้งปลั๊ก 12V & 220V, Wireless Charging, และมีพอร์ต USB ทั้งที่นั่งด้านหน้าและด้านหลัง
4.Smart technology & Safety เทคโนโลยีล้ำสมัยและระบบความปลอดภัยที่จัดเต็ม ทั้งระบบสั่งงานตัวรถจากโทรศัพท์มือถือ และระบบ FOTA, ระบบ Keyless entry และ one-button start, ระบบปรับไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ, ระบบสั่งงานด้วยเสียง, ระบบนำทาง, การเชื่อมต่อ Apple Car Play + Android Auto แบบไร้สาย และระบบ Online Music & Online Radio ส่วนในด้านระบบความปลอดภัย ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีมากถึง 26 รายการ ตัวถังรถทำจากเหล็กกล้า ทนต่อแรงชน แรงบิด แรงกด แรงกระแทกสูง, พวงมาลัยที่ยุบตัวได้ เมื่อเกิดการชน, ระบบตัดน้ำมันเชื่อเพลิงและเปิดประตูอัตโนมัติ เมื่อเกิดการชน ถือว่าว่าจัดหนักจัดเต็มไม่แพ้ใครเลยทีเดียว

ในด้านของการขับขี่ด้วยรถที่ถูกโหลดสัมภาระมาเต็มพื้นที่ สัมผัสแรกคือ เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ทำงานได้เงียบมาก เพราะด้วยการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารที่ทำได้ดีมาก ไม่มีแรงสั่นสะเทือนแบบในรถกระบะเลย อารมณ์คล้ายกับการขับ Tank 500 diesel ประมาณนั้น แม้ว่าจะใช้ยางไซส์ใหญ่หน้ากว้าง 305 กลับไม่ได้ทำให้รถคันนี้ต้วมเตี้ยมเลย แต่จะมีผลในเรื่องของเสียงยางที่ดังขึ้นมาบ้าง ไม่ได้ดังมาก เสียงลมจะเริ่มดังผ่านเสา A ตั้งแต่ 100 กม./ชม. แต่ดังไม่มาก ฟิลลิ่งของช่วงล่างให้ความนุ่มนวล ขับทางไกลนุ่มสบายมาก

ส่วนการขับบนเส้นทางเข้าคลองมะเดื่อ ด้วยการแบกน้ำหนักมาพอสมควร ช่วงล่างยังคงซัพพอร์ตได้อย่างนุ่มนวล ไม่โคลงเคลงมาก ซึ่งจะต่างจากรถสแตนดาร์ดที่ฟังจากเพื่อนสื่อฯ แล้วบอกว่า ค่อนข้างแข็งและกระเด้งพอสมควร ซึ่งนี่เป็นความต่างของการขับกระบะเปล่ากับการแบกน้ำหนักที่กระบะ ผลที่ได้จากการขับมักจะแตกต่างกันอยู่แล้ว ในภาพรวมของช่วงล่างถือว่าทำได้ดีมาก หากต้องใช้รถเพื่อบรรทุกสัมภาระหนัก แม้ว่ารถจะถูกออกแบบมาให้มีความพรีเมียม ห้องโดยสารกว้างนั่งสบาย แต่การขับรถตัวรถเปล่า คนที่ชอบช่วงล่างนุ่มๆ อาจจะไม่ชอบก็ได้ แต่ถ้าเป็นสายแบกสายแคมป์ ต้องพูดเลยว่าช่วงล่างที่ปรับจูนมาแบบนี้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในสายนี้จริงๆ


ทีนี้ถ้าจะเทียบกับ gwm poer sahar hev ยอมรับว่าเทียบไม่ถูก เพราะเงื่อนไขของรถที่ขับแตกต่างกันมาก แต่มีสิ่งที่รู้สึกแปลกคือกลับมีความรู้สึกว่าทั้งสองรุ่นในเรื่องของพละกำลัง การเปลี่ยนเกียร์ การตอบสนองของคันเร่งแทบไม่แตกต่างกัน อัตราเร่งตอนช่วงออกตัว HEV ได้เปรียบกว่าเล็กน้อย ความเร็วกลางและปลายใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่ต่างชัดๆ เป็นเรื่องของอัตราสิ้นเปลือง จากคันที่ขับนี้ แบกน้ำหนักพอตัว ขับสองคน ใช้อัตราเร่งที่ต่างกัน อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 10 -11 กม./ลิตร ซึ่งทำได้ดีกว่ารุ่น HEV ที่ขับกระบะเปล่าอีกด้วย เรื่องของอัตราสิ้นเปลืองนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ ทั้งนี้ต้องรอดูว่าราคาค่าตัวจะเปิดมาที่เท่าไหร่ จะพอสู้ตลาดกระบะที่โหดหินตอนนี้ได้ขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ ถ้าเป็นสายแคมป์ เน้นขับทางไกลสบายๆ เป็นสายแบกบรรทุกเยอะ พละกำลัง ห้องโดยสาร และช่วงล่าง ของ NEW GWM POER SAHAR DIESEL มันโดนใจสายนี้จริงๆ
เรื่อง : พุทธิ ผาสุข







Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.