LAFFITE G-TEC X-ROAD

แม้ปัจจุบันจะมีรถเอสยูวีสมรรถนะสูงออกมาให้เลือกซื้อจากหลายผู้ผลิต แต่รถเหล่านั้นก็มักเหมาะสำหรับการใช้งานบนทางเรียบมากกว่า โดยที่มีสามารถในการลุยเส้นทางขรุขระได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจยังไม่ถูกใจบรรดาสายโหดที่ต้องการทั้งความแรงและความสามารถในการลุยเส้นทางโหดๆ ได้อย่างจริงจัง Laffite Supercar ที่มีสำนักงานทั้งที่ลอส แองเจลิส และไมอามีในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งบาเลนเซียในสเปนซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านการออกแบบยานยนต์รวมทั้งสร้างสรรค์รถคอนเซ็ปต์และรถสำหรับใช้งานบนถนนในแบบการผลิตจำกัด จึงได้ร่วมมือกับ G-Tec เพื่อทำ X-Road ซึ่งเป็นรถที่มีความสามารถในการลุยหนักได้พร้อมกับสมรรถนะที่สูงออกมาเป็นทางเลือก

ในการออกแบบ Laffite G-Tec X-Road ทาง Phillipe Gautheron ซึ่งเป็นวิศวกรด้านรถแข่งจาก G-Tec ได้เลือกที่จะสร้างสรรค์รถซูเปอร์คาร์ออฟโรดคันนี้โดยการใช้เหล็กกล้าโครเมียม โมลิบดีนัมทำเป็นแซสซีส์ของรถ เพื่อให้เป็นรถซูเปอร์คาร์ All-terrain ที่สามารถใช้งานบนถนนได้อย่างถูกกฏหมาย พร้อมกับให้กำลังสูง สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และมีความหรูหรารวมอยู่ในรถคันเดียว โดยกำลังขับเคลื่อนของ X-Road มาจากเครื่องยนต์ GM LS3 V8 6.2 ลิตรที่ให้กำลังสูงถึง 720 แรงม้าสู่ล้อหลังผ่านการส่งกำลังจากเกียร์แมนนวล 6 สปีด พร้อมกับมีแป้นชิฟต์เกียร์ และด้วยน้ำหนัก 1,300 กิโลกรัมของรถจึงทำให้ Laffite G-Tec X-Road ให้อัตราส่วนการแบกน้ำหนักต่อแรงม้าในระดับเดียวกับบรรดาซูเปอร์คาร์ที่ 1 แรงม้าต่อ 1.8 กิโลกรัม โดยรถสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 230 กม./ชม. แต่อย่างไรก็ตามทางผู้ผลิตไม่มีการระบุอัตราเร่งออกมา

นอกจากขุมกำลังเพื่อสร้างความแรงแล้ว X-Road ยังมาพร้อมกับความมั่นใจในการลุยด้วยช่วงล่างที่มีระยะในการเคลื่อนที่มากถึง 17 นิ้ว พร้อมกับใช้ยางออฟโรด BF Goodrich ขนาดใหญ่เพื่อทำให้รถสามารถเหิรและลอยได้อย่างรถที่ใช้แข่งในแรลลีดาการ์

ทาง Lafitte Supercar ระบุว่า X-Road จะถูกประกอบขึ้นที่ลอส แองเจลิสโดยจำกัดจำนวนผลิตแค่ 30 คัน แต่ผู้ซื้อต้องรอหน่อยเพราะพร้อมจะส่งมอบให้ตอนช่วงปลายปีนี้ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 465,000 ดอลล่าร์ สำหรับผู้ที่อยากได้รถสมรรถนะสูงไว้ลุยแต่ไม่อยากทิ้งคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ในอากาศ ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีสำนักงานทั้งในสหรัฐอเมริกาและสเปนบอกว่ามีเวอร์ชั่นไฟฟ้าเป็นทางเลือกด้วยในราคาเริ่มต้น 545,000 ดอลล่าร์