Honda Passport เจเนเรชันที่ 4 ตอบโจทย์สำหรับสายลุย
Honda เผยโฉมรุ่นใหม่ซึ่งเป็นเจเนเรชันที่ 4 ของ Passport รถเอสยูวีขนาดกลางสำหรับตลาดอเมริกาเหนือออกมา ซึ่งมาพร้อมกับขนาดใหญ่ขึ้น ความสูงมากขึ้น พร้อมสไตล์ที่แข็งแกร่งมากขึ้น และตอบโจทย์สำหรับการลุยมากขึ้น
Honda Passport ใหม่มากับการออกแบบที่เน้นเหลี่ยมสันมากขึ้น โดยด้านหน้าของรถมาพร้อมกับไฟหน้าและกระจังหน้าที่ตั้งตรง รวมทั้งมีโอเวอร์แฮงก์หน้าหรือระยะจากล้อหน้าถึงปลายด้านหน้าของรถที่สั้นลงกว่ารุ่นก่อนหน้าเพื่อเพิ่มความสามารถในการลุยมากขึ้น เช่นเดียวกับที่รถมีความสูงของใต้ท้องรถจากพื้นมากขึ้น
นอกจากนี้รถยังมีคิ้วแต่งซุ้มล้อ ช่องดักลมที่ฝากระโปรงหน้า ชื่อรุ่นปั๊มลงบนกันชนหน้า ฝาท้ายเหล็กกล้า ล้อขนาด 18 นิ้วพร้อมยางขนาด 31 นิ้วทุกเกรดของรถ ในขณะที่ขนาดของรถ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า รถเอสยูวีรุ่นใหม่ยังมีความกว้างมากขึ้นและมีระยะฐานล้อยาวขึ้น 2.75 นิ้ว
ส่วนเกรด TrailSport และ TrailSport Elite ซึ่งเป็นเกรดเน้นลุยที่มีเป็นทางเลือกมาตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า จะเพิ่มความสามารถในการลุยมากขึ้นด้วยการมีแผงกันกระแทกของจริงไม่ใช่แค่อุปกรณ์แต่ง มากับยางออล-เทอร์เรน General Grabber ที่พัฒนาร่วมกับผู้ผลิตยาง ได้การปรับตั้งช่วงล่างเพื่อเน้นลุยออฟโรด มีความสูงของใต้ท้องรถจากพื้นมากกว่าเกรดอื่น มีหูเกี่ยวสำหรับให้ลากจูงทั้งด้านหน้าและด้านหลังซึ่งถูกระบุว่าสามารถรองรับน้ำหนักได้มากกว่าน้ำหนักรถถึงสองเท่า มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีลักษณะการทำงานโดยเฉพาะ และกล้องเพื่อให้เห็นล้อของรถบนทางทุรกันดาร
นอกจากนี้ทางผู้ผลิตยัระบุว่าแพลตฟอร์มของรถถูกวิศวกรรมตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อให้เกรด TrailSport มีความสามารถในการลุยออฟโรดที่แท้จริง ทำให้ส่วนหน้าของรถมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 72 เปอร์เซ็นต์ส่วนด้านหลังของรถแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์
แม้จะเน้นลุยแต่ห้องโดยสารของรถก็เน้นความสบายด้วยเบาะนั่งใหม่ที่ถูกระบุว่าเป็น Body Stabilizing ส่วนจอแสดงข้อมูลการขับขนาด 10.2 นิ้วจะมีการแสดงข้อมูลอย่างความสูงในการไต่ของรถ และการเอียงของรถในโหมด TrailSport ส่วนจอตรงกลางขนาด 12.3 นิ้วรองรับทั้ง AppleCarPlay และ Android Auto รวมไปถึงมีแอปพ์ต่างๆ ของ Google ในขณะที่ระบบเสียง Bose ในรถมากับลำโพง 12 ตำแหน่ง ส่วนที่คอนโซลกลางของรถมีช่องจ่ายไฟ 110V ให้ใช้
ระบบขับเคลื่อนของรถเอสยูวีรุ่นใหม่ยังคงเป็นเครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตรเหมือนรุ่นก่อน แต่สร้างกำลังออกมาได้ 285 แรงม้า มากขึ้น 5 แรงม้า และมีแรงบิด 355 นิวตัน-เมตร ขณะที่การนำกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อเป็นหน้าที่ของเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด
ราคาของรถถูกระบุเพียงแค่เริ่มต้น 40,000 กลางๆ ดอลลาร์โดยจะเริ่มมีรถไปตามดีลเลอร์ในปีหน้า
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย Off Road Magazine
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ Off Road Magazine
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.