GWM Tank300 HEV รถที่ถูกสร้างมาเพื่อทางออฟโรดโดยเฉพาะ

เป็นที่พูดถึงกันมากว่า All New GWM TANK 300 HEV เป็นรถที่เหมาะกับการขับในรูปแบบไหน แล้วกลุ่มลูกค้าล่ะใครจะซื้อรถรุ่นนี้ เพราะด้วยราคาค่าตัวระดับ 1,649,000 – 1,799,000 บาท แถมยังมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ค่อนข้างกินหนักพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอยู่เสมอ แต่เดี๋ยวก่อน..หลังจากที่ได้ทดลองขับใช้งานจริง มีข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่างเกี่ยวกับเจ้ายักษ์คันนี้ ที่มั่นใจว่านี่แหละคุณสมบัติของรถที่ถูกจริตกันหลายๆ คนที่พร้อมจ่ายอย่างแน่นอน

ครั้งนี้มีโอกาสได้ลองขับเส้นทางยาวจากกรุงเทพไปราชบุรี เส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางออนโรด แต่ไฮไลท์อยู่ที่จุดหมายปลายทางนั่นคือ แกรนด์แคนยอน ราชบุรี ที่ได้ขับบนเส้นทางออฟโรดที่น่าตื่นเต้นจริงๆ สำหรับ All New GWM TANK 300 HEV เมื่อดูจากการออกแบบตัวถังแล้วต้องยอมรับว่าต้องถูกอกถูกใจสายลุยอย่างแน่นอน แถมยังเสริมความหรูหราด้วยการออกแบบภายในที่ละม้ายคล้ายไปทางรถหรูฝั่งยุโรปอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นนี่กลายเป็นจุดออกแบบที่ลงตัวทำให้ TANK 300 โดดเด่นสะดุดตาใครหลายๆ คนนั่นเอง

ขับบนทางออนโรด ช่วงล่างแน่นหนึบ อัตราเร่งจัดจ้าน

มีความน่าสนใจว่าด้วยขนาดตัวถังใหญ่แบบนี้ แต่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน  2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบแปรผัน (VGT) 244 แรงม้า แรงบิด 380 นิวตัน-เมตร ที่เป็น Flat Torque ในช่วง 1,700 – 4,000 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 106 แรงม้า และแรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 268 นิวตัน-เมตร ระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9HAT) สามารถทำให้รถที่มีน้ำหนักตัวถังระดับ 2.3 ตัน มีความคล่องตัว อัตราเร่งแซงทันใจได้ขนาดนี้ เพราะถ้ามีเพียงเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร เพียงอย่างเดียว น่าจะทำให้ความคล่องตัวลดลงไปพอสมควร แต่พอมีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วย ทำให้แรงบิดจัดจ้านมากขึ้น กลายเป็นปิดประตูข้อด้อยนี้ไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นรถไซส์ใหญ่ที่แรงจัดจ้านไม่เบาเลย

รวมทั้งมีการปรับจูนระบบช่วงล่างที่ด้านหน้าเป็นแบบอิสระดับเบิ้ล ครอส อาร์ม ด้านหลังแบบมัลติลิงค์ ทำให้การขับขี่มีความนุ่มนวล ท้ายไม่โยน แต่ด้านท้ายมีความแข็งกระด้างเล็กน้อย ช่วยลดอาการท้ายโยน แลกกับสัมผัสสะเทือนบ้างเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งจุดเด่นในการขับแบบออนโรดคือ มีอัตราเร่งที่จัดจ้าน พวงมาลัยมีความแม่นยำสูง ช่วงล่างแน่นหนึบ (ให้ความรู้สึกการขับด้วยความเร็วและช่วงล่างที่ดีกว่ารุ่นพี่อย่าง TANK 500 เยอะ) มีการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารที่ค่อนข้างเงียบ ทั้งที่ตัวถังเป็นแบบทรงกล่องที่น่าจะต้านลม แต่กลับลดเสียงลมปะทะได้อย่างน่าชื่นชม จะเริ่มได้ยินเสียงลมปะทะที่เสา A เมื่อความเร็วผ่าน 140 กม./ชม.

การขับแบบออฟโรด สมรรถนะเฉิดฉายได้เหนือกว่าออนโรด

ในภาพรวมของการขับแบบออนโรดถือว่าฝากผีฝากไข้ได้สบายๆ แต่พอเปลี่ยนเส้นทางมาเป็นออฟโรดในแกรนด์แคนยอน ราชบุรี ยอมรับเลยว่า TANK 300 เหมาะกับเส้นทางแบบนี้มากกว่า เพราะเส้นทางที่ขับลุยเข้าไปนี้เป็นพื้นหิน กรวด ทราย มีเนินสลับ มีทางลาด ทางชัน บางจุดชันถึง 40 องศา หน้าแทบปักกันเลย แถมยังมีบึงน้ำให้ได้ขับลุยฝ่าลงไปอีก งานนี้ได้ลองกันคุ้มแบบสมใจจริงๆ

จุดสำคัญคือ TANK 300 มีโหมดการขับให้เลือกใช้งานตามสภาพพื้นผิวที่ช่วยให้การขับง่ายขึ้น การขับด้วยความเร็วบนทางกรวด หิน ทราย ปรับเป็นโหมดพื้นทราย จะสัมผัสได้เลยว่ารถมีเสถียรภาพในการทรงตัวและการเกาะพื้นผิวที่มั่นใจขึ้น ลดอาการเสียสมดุลเวลาเข้าโค้งได้ชัดเจน การขับขึ้นทางลาดไม่ต้องทำอะไรมาก เติมคันเร่งเบาๆ แรงบิดที่มีอยู่ส่งรถให้ขึ้นเนินได้สบายๆ แต่ที่เหนือกว่านั้นสามารถปรับการทำงานของรถให้ขับเคลื่อนด้วยความเร็วแบบ Walking Speed ได้ด้วย เหมือนกับการใช้ครูซคอนโทรล รถจะค่อยๆ ขับเคลื่อนด้วยความเร็วต่ำผ่านอุปสรรคไปแบบเนียนๆ โดยที่ไม่ต้องกดคันเร่งเลย และมีโหมดที่เจ๋งมากๆ คือ TANK Turn ที่เมื่อเปิดโหมดการทำงานแล้ว รถจะสามารถกลับรถได้ในมุมที่แคบกว่าปกติ โดยมีการทำงานคือ ถ้าต้องการ Turn ขวา รถจะจับเบรกในล้อหลังด้านขวา แล้วให้ล้อด้านซ้ายทำหน้าที่ตะกุยพื้นส่งแรงให้รถเคลื่อนที่ไปทางขวา โดยมีล้อหลังขวาเป็นจุดศูนย์การในการ Turn ทำให้การ Turn เกิดเป็นมุมที่แคบลง ต่างจากการเลี้ยวขวาแบบหมุนพวงมาลัยสุดตามปกติ ซึ่งเหมาะมากกับการขับใช้งานในพื้นที่คับแคบ แต่ TANK Turn สามารถใช้ได้กับพื้นผิวที่เป็นดิน หิน กรวด ทราย บนพื้นหญ้า เท่านั้น ไม่สามารถใช้ได้กับพื้นปูนหรือพื้นยางมะตอย

ส่วนคำถามที่ว่า TANK 300 ลุยน้ำลึกได้จริงแค่ไหน จากสเปคบอกว่าลุยได้ 70 มม. พอได้ลุยลงไปจริงๆ เอาเป็นว่าระดับน้ำสูงเกือบถึงไฟหน้า ถึงขนาดที่มีน้ำซึมเข้ามาในรถได้ แต่เครื่องยนต์ยังคงทำงานปกติไม่มีดับ ลุยจนยกพลขึ้นบกได้แบบนี้ ลุยได้ไม่แพ้รถกระบะยกสูงเหมือนกัน

อัตราสิ้นเปลือง 10 กม./ลิตร จุดด้อยที่อาจจะไม่ได้เป็นจุดที่บางคนสนใจ

ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบ เสริมแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า รถคันนี้ไม่ได้เน้นการขับประหยัดเหมือนกับรถไฮบริดอื่นๆ แต่เป็นไฮบริดที่ใช้เสริมแรงเพื่อให้มีพละกำลังในการแบกน้ำหนักรถให้ขับได้คล่องแคล่ว ปราดเปรียว จัดจ้าน แลกกับอัตราสิ้นเปลืองที่เกิดขึ้น ซึ่งจากการขับใช้งานในทริปนี้ ตัวเลขจะเฉลี่ยที่ 8-10 กม./ลิตร อาจจะดูกินน้ำมันเยอะหน่อย มีขนาดถังน้ำมัน 75 ลิตร ที่ใหญ่พอๆ กับรถกระบะ แล้วพอมาดูรถที่เป็นคู่แข่งหลักอย่าง Jeep ที่มีตัวรถในสไตล์เดียวกัน ขุมพลังขนาด 4.0 ลิตร อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 5 กม./ลิตร พอเห็นตัวเลขแบบนี้แล้ว TANK 300 ดูประหยัดกว่าเยอะเลย แต่เอาเข้าจริงๆ สำหรับคนที่ชื่นชอบ TANK 300 กลับไม่ได้มาสนใจเรื่องอัตราสิ้นเปลือง แต่ให้ความสำคัญกับสไตล์ของรถที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หรือตอบโจทย์ความต้องการของตนเองมากที่สุด บางคนเลือกรถคันนี้ให้เป็นหนึ่งใน Big Gadget ที่ขับใช้งานในช่วงวันหยุด เอาไว้แต่งโหดๆ แต่ไม่ได้ขับใช้งานบ่อย หรือบางคนเลือกขับใช้งานแบบทางฝุ่นเพื่อใช้งานขับเข้าสวนเข้าไร่กันแบบจริงจัง เพราะรถทำออกมาตอบโจทย์ และมีรายได้เพียงพอกับการเป็นเจ้าของ TANK 300 เรื่องอัตราสิ้นเปลืองจึงเป็นจุดที่ไม่ได้สำคัญกับคนที่เลือก TANK 300 นั่นเอง

ข้อมูลสำคัญของ All New GWM TANK 300 HEV

ด้านการออกแบบ

All New GWM TANK 300 HEV เป็นรถยนต์พรีเมียมเอสยูวีออฟโรดขนาดกลาง มิติตัวรถ 1,930 x 4,760 x 1,903 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) และระยะฐานล้อ 2,750 มม. ให้ความแปลกตาด้วยดีไซน์แบบออฟโรดที่ผนวกกับดีไซน์ BOXY ได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยกระจังหน้าแบบ Rectangle ตัดขอบสีดำเงาที่รวมการจัดเรียงของไฟหน้าทรงกลมตัด DRL ทรงเหลี่ยมผสานเข้ากับตัวรถ เสริมความเท่ทะมัดทะแมงด้วยกันชนดีไซน์ออฟโรดร่วมสมัย บังโคลนขนาดใหญ่ และบันไดข้าง พร้อมเพิ่มความแข็งแกร่งและมั่นใจให้กับภาพลักษณ์ด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สีดำ และยาง A/T ขนาด 265/65 R17 เน้นย้ำความหรูหราของดีไซน์ออฟโรดที่ทันสมัยและสะดวกสบาย ด้วยนาฬิกาแบบคลาสสิก เบาะหนัง NAPPA ระบบกรองอากาศ PM2.5 และ Ionizer รวมถึงระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ช่องจ่ายไฟสำรอง 220V แบบพร้อมเต้ารับสายไฟ และช่อง USB สำหรับผู้โดยสารข้างหน้า-หลัง และสำหรับกล้องบันทึกภาพ

สมรรถนะ

All New GWM TANK 300 HEV ถูกสร้างบนแพลตฟอร์ม TANK ที่อัดแน่นไปด้วยประสิทธิภาพ สมรรถนะ และเทคโนโลยีที่เหนือชั้นเช่นเดียวกัน โดยรถยนต์รุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน (VGT) ให้กำลังสูงสุด 244 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร เป็น Flat Torque ในช่วง 1,700 – 4,000 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 106 แรงม้า และแรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 268 นิวตัน-เมตร ทั้งยังมาพร้อมระบบเกียร์แบบ 9 สปีด (9HAT) ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับความหลากหลายของระบบการขับเคลื่อนรถยนต์ไฮบริด และโหมดการขับขี่ที่มีถึง 7 รูปแบบ ได้แก่ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดประหยัด โหมดพื้นหิมะ โหมดพื้นโคลน โหมดพื้นทราย และโหมด 4L

รุ่นและราคาจำหน่าย

มี 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น PRO ราคา 1,649,000 บาท และรุ่น ULTRA ราคา 1,799,000 บาท โดยมีเฉดสีรถภายนอกทั้งหมด 4 เฉดสี ได้แก่ สีส้ม สีดำ สีเทา และสีขาว และมีเฉดสีรถภายในทั้งหมดสีเดียว ได้แก่ สีดำ (ลักษณะของเบาะจะแตกต่างกันในรุ่น PRO และรุ่น ULTRA)

 

 

 

เรื่อง : พุทธิ ผาสุข

ภาพ : เกรท วอลล์ มอเตอร์

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    Cookies Details

Save