Ford Ranger MS-RT กระบะสายโหด ความแรงจากป่าสู่เมือง
Ford Ranger Raptor สร้างชื่อเสียงและสร้างภาพลักษณ์ที่มีความดุดันไม่เกรงใจใคร จนติดปากกันไปทั่วเมืองไปแล้ว ล่าสุด ฟอร์ด ประเทศไทย สานต่อความแรงของ Ranger ด้วยกระบะสไตล์เรซซิ่งที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากมอเตอร์สปอร์ตอย่าง Ford Ranger MS-RT สำหรับคนที่ชื่นชอบในความเร็วโดยเฉพาะ มีการปรับจูนช่วงล่างเพื่อให้เหมาะกับการขับด้วยความเร็วสูง
สำหรับ Ford Ranger ชุดแต่ง MS-RT ให้อารมณ์ความเป็นกระบะแต่งซิ่งสายแข่ง ที่หากใครเป็นแฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตจะคุ้นๆ กับดีไซน์ของรถแบบนี้ เพราะมีดีไซเนอร์คนเดียวกันกับที่ออกแบบรถแข่งทีม Ford Thailand Racing (FTR) ที่ลงแข่งในรายการไทยแลนด์ ซูเปอร์ ซีรีส์ รุ่น Super Pick Up ที่มี แซนดี้ สตูวิค เป็นนักขับนั่นเอง โดยฟอร์ดได้จับมือกับ MS-RT (M-Sport Road Technology) ที่มีประสบการณ์ในการแข่งรถแรลลี่มาถึง 40 ปี มาร่วมพัฒนารถกระบะรุ่นนี้ ทำให้เป็นรถกระบะที่มีความสปอร์ตพรีเมียม และแรงในสไตล์มอเตอร์สปอร์ต
สำหรับ อุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ MS-RT เริ่มจากการออกแบบตัวถังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมอเตอร์สปอร์ต เน้นความพรีเมียมตั้งแต่กันชนหน้าใหม่ พร้อมลิ้นหน้า (Splitter) ในตัว, ซุ้มล้อกว้างขึ้นทั้งหน้าและหลังทำให้ความกว้างโดยรวมเพิ่มขึ้น 82 มิลลิเมตร, ชุดสเกิร์ตด้านข้าง, สปอยเลอร์หลังคา, กันชนหลังดีไซน์ใหม่ พร้อมดิฟฟิวเซอร์หลังสไตล์มอเตอร์สปอร์ต, สปอยเลอร์หลังแบบ Ducktail, บันไดข้างไฟฟ้าแบบพับเก็บอัตโนมัติ, ล้ออัลลอยดีไซน์พิเศษลาย ‘ไดมอนด์ คัท’ สีดำ ขนาด 21 นิ้ว, กระจกมองข้าง และมือจับประตูสีอะเกต แบล็ก, พวงมาลัยใหม่ดีไซน์สปอร์ต ตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ MS-RT รวมทั้งลดความสูงของตัวรถลง 40 มิลลิเมตร
ห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วยหนังสังเคราะห์และหนังกลับ พร้อมเบาะที่นั่งโอบกระชับออกแบบมาเฉพาะในสไตล์ MS-RT เดินด้ายสีน้ำเงินเอกลักษณ์ตกแต่งรอบห้องโดยสาร, พวงมาลัยใหม่ดีไซน์สปอร์ต ตกแต่งด้วยแถบสีน้ำเงินที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา, เบาะนั่งคนขับ และเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง, เบาะที่นั่งโอบกระชับ ได้รับการออกแบบมาเฉพาะสำหรับชุดแต่ง MS-RT รองรับสรีระขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ทำจากหนังสังเคราะห์และหนังกลับพร้อมการเดินด้ายสีน้ำเงินตกแต่งรอบห้องโดยสาร, สัญลักษณ์ MS-RT บนยางปูพื้นห้องโดยสาร, สัญลักษณ์ MS-RT บนเบาะคู่หน้า และเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมลายธงเรซซิ่งบนเบาะ, แท่นชาร์จไร้สาย, กุญแจรีโมทอัจฉริยะ พร้อมปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ, ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา และระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB และไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร
หน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว ใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4A รองรับ Wireless Apple CarPlay® และ Android Auto™ ที่ได้รับการพัฒนาให้สะดวกรวดเร็วไปอีกขั้น เพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัย, หน้าจอแสดงผลบนหน้าปัดแบบสีขนาด 8 นิ้ว, ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ, ระบบ FordPass Connect, ช่องต่อ USB 4 จุด รวมถึงบนกระจกมองหลัง และลำโพง 6 ตำแหน่ง
ด้านขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 3.0 ลิตร V6 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับความนิยมมายาวนานในต่างประเทศและเปิดตัวในไทยเมื่อต้นปี 2024 มีความเสถียรและทนทาน เหมาะสำหรับผู้ขับที่ต้องการพละกำลังและแรงบิดมากขึ้นจากรุ่นปกติ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E-Shifter มีพละกำลังสูงสุด 250 แรงม้า ที่ 3,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ซึ่งเครื่องยนต์นี้ใช้หัวฉีด Bosch Piezo มีแรงดันในรางหัวฉีด 2,000 บาร์ แรงดันเทอร์โบชาร์จสูงสุด 2.8 บาร์
ทั้งยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ 4A 4WD มีตัวเลือกโหมดการขับขี่ 6 โหมด คือ โหมดปกติ (Normal), โหมดประหยัด (Eco), โหมดลากจูง (Tow/Haul), โหมดถนนลื่น (Slippery), โหมดโคลนและหิน (Mud/Ruts) และโหมดทราย (Sand) และยังติดตั้งระบบไฟส่องสว่างแบบแบ่งโซน (Zone Lighting) ควบคุมการเปิดไฟส่องสว่างภายนอกตัวรถ เมื่อต้องการแสงสว่างในการทำกิจกรรมต่างๆ ในตอนกลางคืน ได้แก่ ไฟหน้า ไฟส่องพื้นจากกระจกข้างรถ ไฟในกระบะท้าย และไฟส่องแผ่นป้ายทะเบียน โดยสามารถเลือกเปิดปิดเฉพาะบางโซนหรือทุกโซนพร้อมกันได้ผ่านหน้าจอ SYNC
ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัยและเทคโนโลยีช่วยการขับขี่จัดเต็มไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัย 7 จุด ได้แก่ คู่หน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมบริเวณหัวเข่า, ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน, เบรกมือไฟฟ้า, ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control System), ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) และระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll-Over Mitigation), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control), สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและหลัง, ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop & Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง, ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ
ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB), ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System), ระบบช่วยควบคุมรถหลังจากชน (Post-Collision Braking System), ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Alert), ระบบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด (Blind Spot Information System – BLIS® with cross-traffic alert), กล้องมองรอบคัน 360 องศา, ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง (Reverse Brake Assist) และระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ (Evasive Steering Assist)
เมื่อดูจากสเปคตามนี้แล้วถือว่าเป็นรถกระบะตัวแรงที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความสะดวกสบายและความปลอดภัยขั้นสูง ไม่ต่างจาก Ford Raner Raptor และ Ford Everest กันเลย
ในส่วนของการทดลองขับในสนามพีระ เซอร์กิต พัทยา ถือว่าทำให้ได้แสดงสมรรถนะของ Ford Ranger MS-RT ได้ชัดเจน อัตราเร่งถือว่าจัดจ้านพอตัว พวงมาลัยแม่นยำสูงน้ำหนักกำลังดี การตอบสนองของเกียร์ทำได้ราบเรียบและต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษคือเรื่องของระบบช่วงล่างที่มีการปรับจูนขึ้นมาใหม่ ให้รอบรับการขับในสไตล์สปอร์ตมากกว่ารุ่นทั่วไป จุดนี้ยอมรับว่าฟอร์ดทำการบ้านมาดี เพราะนอกจากจะให้อารมณ์ของการขับสไตล์สปอร์ตที่ปกติแล้ว ช่วงล่างรถในสไตล์นี้จะค่อนข้างแข็งกระด้าง แต่กลับมีความนุ่มนวล แฝงด้วยความกระด้างที่ไม่เยอะมาก ทำให้ขับได้สบายมากขึ้น ไม่ได้ส่งแรงสะเทือนที่ทำให้ขับแล้วเหนื่อย กลายเป็นรถกระบะที่ขับในสนามแข่งแล้วมีความสบาย แต่จัดจ้านด้วยพละกำลังสูง พ่วงด้วยช่วงล่างที่นิ่ง แน่น หนึบ ขับสนุกและเร้าใจจริงๆ
เริ่มออกตัวด้วยทางตรงแบบคิกดาวน์ 0-100 กม./ชม. ในเวลาราว 9 วินาที ค่อนข้างเร็ว อารมณ์ไม่ได้แบบพุ่งทะยานรุนแรง แต่เป็นการออกตัวแบบกระโจนไปทั้งคัน เสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามาในห้องโดยสารไม่มาก เลขความเร็วไต่ขึ้นค่อนข้างเร็ว จนสุดทางตรงผ่อนคันเร่ง เข้าไลน์โค้งซ้ายขึ้นเขา ท้ายกระบะไม่ได้มีอาการบานออก ยังคงยึดแน่นกับผิวแทร็กอย่างเหนียวแน่น เติมคันเร่งอีกหน่อยเพื่อเข้าโค้งขวาลงเขา ผ่อนรถไหลเข้าโค้งด้วยความเร็วประมาณ 70 กม./ชม. รถเกาะไปตามโค้งอย่างเนียน เข้าสู่กรวยสลาลอมความเร็ว 60 กม./ชม. รถมีความมั่นคงในการสลาลอมได้ดี ไม่มีอาการท้ายบาน และยังควบคุมทิศทางได้ง่าย ด้วยน้ำหนักของพวงมาลัยที่ไม่ได้หนักเกินไป แต่ถ้าเข้าสลาลอมด้วยความเร็วที่เกินกว่านี้ รถจะจับได้ว่าเริ่มจะเสียอาการ ระบบเบรกจะเข้ามาช่วยทำงานในทันทีก่อนที่จะเกิดอาการ ซึ่งจะรู้ทันทีว่าเบรกกำลังจับเพื่อให้รถอยู่ในทิศทาง จุดนี้ถือว่าระบบความปลอดภัยเข้ามาทำงานได้เร็วมากๆ
จากนั้นเติมคันเร่งเข้าสู่โค้ง 100R ตัวรถเข้าโค้งได้เนียนมาก ช่วงล่างเกาะโค้งได้ดี แล้วเข้าสู่โค้ง S1, S2 ความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. ผ่านโค้งนี้ได้ง่ายๆ รถไม่มีเสียอาการเลย แล้วเข้าโค้งขวาก่อนถึงสุดทางตรง กดเบรกแรงๆ เพื่อสังเกตอาการด้านท้าย น้ำหนักเบรกค่อนข้างนุ่ม ไม่สะท้านเท้า หักขวาแล้วเติมคันเร่ง ท้ายรถก็ยังคงไม่บานออก สุดท้ายเข้าสู่ทางตรง ความเร็วจาก 60 กม./ชม. กดคันเร่งเต็มเท้า ผ่านธงตราหมากรุก ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 150 กม./ชม. ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีสำหรับอัตราเร่งด้วยตัวถังที่มีน้ำหนักขนาดนี้ เป็นการขับรถกระบะในสนามพีระฯ ที่แรงและขับง่ายที่สุดที่เคยขับมาเลยทีเดียว
แต่ต้องเน้นย้ำว่า นี่เป็นผลที่ได้จากการขับทดสอบในสนามแข่ง ที่สภาพพื้นผิวแทร็กมีความเรียบ และทางโค้งมีการออกแบบพิเศษเพื่อรองรับการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ซึ่งจะต่างจากการนำไปขับบนผิวถนนทั่วไป ที่ช่วงล่างแบบนี้จะสร้างความสะเทือนเข้ามาให้ร่างสะท้าน โดยเฉพาะกับถนนหนทางที่เรารู้กันว่าหาถนนเรียบๆ ได้ยากเหลือเกิน แต่ถ้าขับบนทางมอเตอร์เวย์ บูรพาวิถี หรือมอเตอร์เวย์ M81 ถึงจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง รวมทั้งอัตราเร่งที่ขึ้นไว น่าจะทำให้รู้สึกอึดอัดพอสมควรเมื่อต้องเจอกับสภาพรถติด
ด้วยค่าตัวที่ขยับขึ้นไปถึง 1,749,000 บาท อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ในกลุ่มผู้ใช้รถกระบะทั่วไป แต่สำหรับ Ford Fan ที่มี Raptor อยู่แล้ว รวมถึงคนที่มองว่ารถกระบะ High Performance แบบนี้มันคือ Big Gadget อย่างหนึ่ง ต้องบอกเลยว่าคุ้มค่ากับการเป็นเจ้าของอย่างแน่นอน เพราะคุณจะได้สัมผัสถึงสมรรถนะของรถกระบะสไตล์มอเตอร์สปอร์ตอย่างแท้จริง แตกต่างจากรถกระบะอื่นๆ ในตลาดอย่างแน่นอน
เรื่อง : พุทธิ ผาสุข
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.