ครั้งหนึ่งในชีวิต กับการขับรถเที่ยว CAPE YORK
CAPE YORK เป็นปลายแหลมที่อยู่ตอนบนเหนือสุดของประเทศออสเตรเลีย ในรัฐ QUEENSLAND ซึ่งที่แห่งนี้ชาวออสซี่ส่วนใหญ่ จะรู้จักกันในนาม THE TIP (TOP OF AUSTRALIA) และครั้งหนึ่งในชีวิตของพวกเขาต้องมาสัมผัสให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเดินทางไกลแค่ไหนก็ตาม บางครอบครัวเดินทางมาจากอีกซีกมุมประเทศที่ตรงข้ามกันห่างกันหลายพันกิโลเมตร รอนแรมมาเป็นเดือนๆ และก็เที่ยววนรอบๆ CAPE YORK อีกเป็นเดือนๆ มาแล้วต้องเที่ยวกันให้คุ้มเลย
การเดินทางไปให้ถึง CAPE YORK นั้นมีสองทางเลือกคือ ไปแบบเส้นทางปกติเป็นทางลูกรัง มีลาดยางบ้างเป็นช่วงๆ กับอีกเส้นทางคือ ทางลูกรังสลับกับเส้นทางออฟโรด การเดินทางของพวกเราในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เราต้องเตรียมการล่วงหน้าหลายเดือน โดยการติดต่อทางโทรศัพท์ระหว่างประเทศ รวมทั้งทางไลน์ กับสมาชิกที่จะร่วมเดินทางด้วยกัน เพื่อหาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเดินทาง ศึกษาเส้นทางออฟโรด จองสถานที่พักรถที่สามารถนอนพักค้างคืนได้ เพราะข้างในนั้นเป็นถิ่นของคนพื้นเมือง เราอาจจะสื่อสารกับเขาไม่ได้เลย ยกเว้นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่พอสื่อสารภาษาอังกฤษได้บ้าง เราวางแผนการเดินทางให้กระชับ เพราะจะใช้เวลาไปและกลับเพียง 13 วัน เรื่องอาหาร น้ำดื่ม เครื่องดื่ม เครื่องมือต่างๆ สำรองไว้เผื่อซ่อมรถ รวมทั้งเสื้อผ้าให้เพียงพอ สำหรับสมาชิกที่อยู่ออสเตรเลียไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร แต่ที่เดินทางไปจากเมืองไทยอย่างพวกผม ต้องเอาไปแค่ของที่จำเป็นจริงๆ
หลังกำหนดวันเดินทางกันได้แล้ว ผม too 4LOW กับ หนิด LSP ได้เดินทางจากเมืองไทยในเดือนกรกฏาคมเพื่อไปพบกับ เบียร์ วังน้ำ ที่เมือง SUNSHINE COAST เมืองหนึ่งในรัฐ QUEENSLAND เพื่อมีเวลาพักผ่อนและปรับตัวให้เข้ากับอากาศซึ่งกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว และเที่ยวชมธรรมชาติริมชายหาดใกล้ที่พัก เพื่อรอบ๊อบกับเดียร์ เจ้าพระยา ที่จะตามมาสมทบที่บ้านของ เบียร์ วังน้ำ ซึ่งทั้งสองจะเดินทางมาจากเมือง GOLD COAST ในรัฐ QUEENSLAND ที่ห่างไปร้อยกว่ากิโลเมตร จนกระทั่งทั้งคู่เดินทางมาถึง เราทักทายกันพอสมควร ก็ได้เวลาออกเดินทาง โดยที่เบียร์ติดธุระด่วน ให้เราเดินทางไปก่อนแล้วจะขึ้นเครื่องตามไปดักรอ
จุดหมายของเราวันนี้คือ แคมป์ คาร์ สาธารณะที่ BENARABY ซึ่งต้องเราขับกันทั้งวันกว่าจะถึงจุดหมายเนื่องจากเป็นทางสองเลนไปและกลับจะแซงได้ก็ต่อเมื่อมีช่องทางสำหรับให้แซงเท่านั้น ที่นี่กฎหมายจราจรของประเทศเขาเคร่งครัดจริงๆ และทุกคนก็ต้องทำตามกฎนั้นด้วย ถึงจุดหมายแล้วผู้ชายก็กางต็นท์ที่อยู่บนหลังคารถ (ROOF TENT) ส่วนสาวๆ ก็ง่วนอยู่กับการทำอาหารเนื่องจากฤดูหนาวที่นี่มืดเร็วมาก
วันที่สองของเราหลังจากเมื่อคืนเจออากาศที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก จนปรับตัวไม่ทันจาก 17 องศาในตอนเย็นลงมาเหลือ 3 องศาในตอนเช้ามืด วันนี้เราขับผ่านเมือง ROCKHAMPTON พร้อมกับแวะซื้อผ้าห่มกันหนาวเพิ่ม หลังจากนั้นขับกันต่อเนื่องรวดเดียวถึงที่พักเมืองทางผ่าน RIVERVIEW ซึ่งที่นี่เราพัก แคมป์ คาร์ ของเอกชนคิดค่าบริการคนละ $ 15 AUS. หรือประมาณ 35 บาทไทย มีน้ำอุ่นให้อาบ ห้องน้ำสะอาดดี ใกล้มืดแล้วต้องรีบจัดการกับข้าว ที่นอน หลังจากนั้นก็ปาร์ตี้เล็กๆ แล้วรีบนอนเอาแรงกัน
วันที่สามเมื่อคืนอุณหภูมิ 7 องศา แต่ได้ผ้าห่มหนาเลยเอาอยู่ ไม่หนาวทรมานเหมือนคืนวาน หลังรับประทานอาหารเช้ากันแล้วออกมาเติมน้ำมันเสร็จ ก็รีบทำเวลากันเท่าที่ทำได้ เกือบบ่ายสามโมงก็มาถึงเมือง CAIRNS ด่านสุดท้ายก่อนเข้าสู่เส้นทางออฟโรด สามวันมานี่เราเดินทางกันประมาณ 1,800 กิโลเมตรกับถนนสองเลนที่แทบจะแซงกันไม่ได้เลย รู้สึกได้ถึงความเครียดของการขับรถ ที่นี่ เบียร์ วังน้ำ ได้ลงจากเครื่องบินมารอเราแล้ว และจุดนี้เป็นที่สุดท้ายที่เราจะต้องเตรียมทุกสิ่งอย่างให้พร้อม เพราะเส้นทางที่เราจะผ่านเข้าไปมีแต่ร้านค้าเล็กๆ จะมีก็แค่อาหารและน้ำ เครื่องดื่มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ระยะทางไป-กลับ อีกราว 2,000 กิโลเมตร เพราะฉะนั้นทุกตารางนิ้วของรถยนต์ ต้องบรรจุแต่ข้าวสาร อาหารแห้ง เสื้อผ้าไปเท่าที่เอาไปได้ คืนนี้เราได้รับความอนุเคราะห์ที่พักและอาหารค่ำจาก เดวิส เพื่อนของ เบียร์ วังน้ำ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายเนื้อทุกชนิดที่ใหญ่มากในเมือง CAIRNS
วันที่สี่เราออกเดินทางกันแต่เช้า ผ่านเส้นทางลูกรังบ้าง ลาดยางบ้าง จนมาถึงลูกรังล้วนและทำเป็นลอนคลื่นด้วยเพื่อชะลอความเร็วของรถยนต์ ยิ่งถ้าฝนตกถนนลูกรังโดนน้ำนี่ลื่นชะมัด และเส้นทางนี้ในฤดูน้ำหลากเคยท่วมถึง 6 เมตร เราขับกันเช้ายันเย็นได้แค่ 400 กว่ากิโลเมตร แต่ก็ถึงจุดหมายที่ตั้งไว้คือ แค้มป์ กราวด์ เมือง MUSGRAVE ถึงตรงนี้มาได้เกือบครึ่งทางแล้ว
วันที่ห้ารถเกือบทุกคันที่แค้มป์นี้รีบเดินทางกันแต่เช้า ผ่านเมือง COEN ถิ่นของชนพื้นเมือง ABORIGIN พอผ่านเมือง ANCER RIVER ROAD HOUSE ไปสักครึ่งชั่วโมง มีทางแยกขวาเข้าสู่เส้นทางออฟโรดเบาๆ มุ่งสู่เมือง LOCK HARD RIVER จนมาโผล่ที่เมือง CAPE WAYMOUTH แวะชมชายหาดกันเล็กน้อย ต้องบอกว่าสวยมาก แต่ไม่อนุญาตให้พักแรม เนื่องจากทางการยังคุมชาวพื้นเมืองได้ไม่หมด เราจึงเดินทางต่อมาพักกันที่ CHILLI BEACH แค้มป์ คาร์ แสนสวยซึ่งเป็นที่พักของทางการ แต่ก็ต้องทำการจองจุดพักมาก่อนล่วงหน้า
วันที่หกเราย้อนกลับออกมาทางเดิมพอถึง YAM CREEK (CREEK=ลำน้ำ คลอง ห้วย) มีทางแยกขวามือเป็นเส้นทางออฟโรดชื่อ FRENCHMAN TRACK มีหลายรสชาติ เช่น ทรายละเอียดร่วน ทรายดูด เนินสลับ ข้ามแม่น้ำ สะพานซุง ถ้ามือใหม่ก็ยากพอควร มาโผล่อีกทีที่ MORETON TELEGRAPH STATION ขับรถมาสักหนึ่งชั่วโมงก็ถึง BRAMWELL JUNCTION ตรงจุดทางแยกนี้มีผู้ร่วมเดินทางทำป้ายทะเบียนรถหายและผู้ที่เก็บได้นำมาติดไว้กับต้นไม้ เราขับรถต่อมุ่งหน้าสู่ THE OLD TELEGRAPH TRACK เส้นทางดั้งเดิมในการเดินทางสู่ THE TIP ที่นี่มีเส้นทางยากระดับ 3-4 ให้เล่นตลอดทาง ด่านแรก คือ PARM CREEK, DUCIE CREEK ทิ้งดิ่งข้ามลำน้ำและเชิดหัวขึ้นแบบเห็นแต่ท้องฟ้า GUN SHOT CREEK ทิ้งดิ่ง 70 องศา น่าหวาดเสียวถึงสันหลัง จุดนี้เราได้นำธงชาติไทยไปประดับร่วมกับธงชาติอื่นด้วย วันนี้เราผ่านจุดออฟโรดหนักๆ หลายที่ แต่ยังไม่พ้นแนวป่า แต่ก็ได้ที่พักดีพอสมควรที่ ELIOT/TWIN/INDIAN HEAD FALLS ติดน้ำตก มีห้องน้ำและน้ำสะอาดให้ใช้
วันที่เจ็ดออฟโรดเราเดินทางกันต่อ โดยผ่าน SAM CREEK ,MISTAKE CREEK,CANNIBLE CREEK,CYPRESS CREEK,BRIDGE CREEK (NO LAN’S BROOK) หลุดจากเส้นทางออฟโรดก็ต้องข้ามแม่น้ำ JORDAN ด้วยแพขนานยนต์ ค่าข้ามแพแพงมากรถยนต์คันละ $100 AUS.ด้วยระยะทางแค่ 50 เมตร แต่คิดแค่ไปขาเดียว ตอนกลับฟรีครับ ขึ้นจากแพขนานยนต์ได้ เราสองคันรีบทำความเร็วกันเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ถึง THE TIP และถึงจุดพักก่อนมืด ในที่สุดเราก็มาถึงดินแดนที่เรียกว่า CAPE YORK แล้ว THE TIP (TOP OF AUSTRALIA) และเดินเท้าไปอีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงป้ายที่ทุกคนต้องมาถ่ายภาพที่ระลึก ซึ่งคณะของเราก็ไม่พลาดที่จะนำธงไตรรงค์ออกมาโบกสะบัด ณ จุดนี้ ซึ่งเป็น LANDMARK แห่งหนึ่งของโลก เราลองสอบถามตามจุดพักและร้านอาหารต่างๆ เท่าที่ทราบยังไม่เคยมีกลุ่มคนไทยเดินทางผ่านเส้นทางออฟโรด 3 เส้นทางนี้จนถึง THE TIP มาก่อน เย็นนี้เราได้ที่พักริมทะเลแสนสวยอีกแห่งหนึ่งคือ แค้มป์ กราวด์ PUNSAND BAY ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวมาก เราทำอาหารและพักผ่อนกันอย่างเต็มที่
วันที่แปดแวะซื้อของที่ระลึกจาก CAPE YORK ที่ CROC TENT หลังผ่านเส้นทางออฟโรดมาแล้ว ขากลับเราเลือกทางลูกรังเพื่อทำความเร็ว มาข้ามแพขนานยนต์ก่อนเที่ยง เพราะคนขับแพเขาพักเที่ยง 1 ชั่วโมง เราทำเวลากันได้ดีทีเดียว เพราะก่อนค่ำก็มาถึง ANCER RIVER ROAD HOUSE ยังพอมีพื้นที่ให้จอดรถพักได้บ้าง เป็นพื้นที่ของเอกชนเสียค่าพักคนละ $10 AUS.
วันที่เก้าเป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องขับรถกันยาวๆ ผ่านเมือง COEN, MUSGRAVE, LAURA, LAKE LAND และMAREEBA ออกมาถึงเมือง CAIRNS ก็เย็นค่ำพอดี เดวิส ได้ทำอาหารเย็นเลี้ยงเราอีกมื้อใหญ่
วันที่สิบช่วงเช้าต้องนำรถของ บ๊อบ เข้าไปซ่อมท่อไอเสียและช่วงล่าง ผม หนิดและเบียร์ เลยใช้เวลาไปกับการไปเที่ยวแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก GREAT BARRIER REEF บริเวณ GREEN ISLAND ยอมรับเลยครับว่าสวยสมคำร่ำลือ ปะการังและสัตว์น้ำสวยสมบูรณ์มาก มื้อเย็น เดียร์ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารจีนที่อร่อยที่สุดของเมืองนี้เลย
วันที่สิบเอ็ดได้เวลาร่ำลา เดวิส แล้วรีบเดินทางกลับ ส่วน เบียร์ มีงานด่วนต้องบินกลับไปก่อนตอนบ่าย เราแวะเที่ยวกันตามรายทางและพักค้างคืนที่ AIRLIE BEACH
วันที่สิบสองเราขับผ่าน ROCKHAMPTON โดยใช้เส้นทางเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ แวะเล่นออฟโรดอีกนิดหน่อย ชมธรรมชาติไปตลอดทาง เราค้างคืนกันที่ BENARABY มาถึงดึกเลย
วันที่สิบสาม เรายังคงเที่ยวไปตลอดทาง รวมทั้งแวะโรงงานผลิตเหล้ารัม ยี่ห้อ BUNDABERG ซึ่งเป็นชื่อเมืองด้วยเหมือนกัน จากนั้นเราก็รีบทำเวลามาให้ถึง SUNSHINE COAST ก่อนมื้อค่ำซึ่งเบียร์ได้เตรียมรอไว้แล้ว
การเดินทางครั้งนี้นับว่าเป็นการขับรถที่ยาวไกลครั้งหนึ่งในชีวิต ใช้เวลาต่อเนื่องถึง 13 วันกับระยะทางเกือบ 6,000 กิโลเมตร กินอาหารแช่แข็งบ้าง ทำสดกันข้างรถบ้าง นอนกันบน ROOF TENT ทุกคืน หากเพื่อนจะนำไปเป็นแนวทางเพื่อจะไปเที่ยวบ้างก็ได้นะครับ ศึกษาเส้นทางจากแผนที่ GPS และตาม LANDMARK , CREEK ต่างๆที่ได้ลงรายละเอียดไว้ มีที่น่าสนใจอีกหลายแห่งใน CAPE YORK ที่เรายังไม่ได้ไปเนื่องจากเวลาจำกัด เราคุยกันแล้วว่าถ้ามีเวลาเหมาะๆ จะต้องไปเยือนกันอีกครั้งอย่างแน่นอน
เรื่อง/ภาพ : too 4LOW
เรียบเรียงข้อมูลโดย Off Road Magazine
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ Off Road Magazine
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.