"แปลงร่างม็อกซิลล่า" The UNIMOG Beast From Poland
ใครเคยดูหนังญี่ปุ่น “ก็อดซิลล่า” เจ้ายักษ์ใหญ่ต้นกำเนิดมาจากลิงกอริลล่าผสมพันธุ์กับวาลกลายมาเป็นเจ้าลิง ยักษ์ผู้ทรงพลัง ในแนวคิดคล้าย ๆ กันกับผู้สร้างรถคันนี้เจ้า “ม็อกซิลล่า” ก็เกิดขึ้นเป็นรถออฟโรดระดับมอนสเตอร์ขนาด ยักษ์ที่น่าเกรงขามจากแนวความคิดและสร้างขึ้นโดยบริษัท Extrem4x4 Ltd. ในประเทศโปแลนด์
บริษัท Extrem4x4 Ltd. ก่อตั้งขึ้นในปี 2001 โดย 3 บุรุษผู้โด่งดังและเชี่ยวชาญในวงการออฟโรด Adrian, Damian และ Michael ร่วมลงขันกันเปิดอู่บริการโมดิฟายรถแรลลี่ออฟโรดซึ่งตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการมาก็มีผลงานมาก มายมีชื่อเสียงติดอันดับในการจูนอัพและการสร้างรถออฟโรดรวมทั้งเป็นผู้จัดแข่งออฟโรดแรลลี่อีกด้วย ซึ่งในการเริ่มใน โปแลนด์มีความยากลำบากในด้านการตลาดที่มีรถออฟโรดจำนวนยังน้อยในห่วงเวลานั้น
ในปี 2005 บริษัทได้ย้ายไปอยู่ที่ Rybarzowice เมืองเล็กๆ ใกล้ ๆกับเมือง Bielsko-Biala กิจการก็ดีขึ้นตาม ลำดับ โดยในช่วงคริสมาสและปีใหม่ 2011/2012 ก็ต้องย้ายอีกครั้งไปอยู่ในคอมเพล็กซ์ที่ทันสมัยซึ่งเป็นศูนย์รวมรถ Offroad ทั้งหมดที่ให้บริการทั้งรถบรรทุกขนาดใหญ่และรถออฟโรดด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างมืออาชีพ
ผลงานเริ่มต้นด้วยรถ ซูซูกิ Samurai แต่ต่อมาก็มีกลุ่มรถนิสสัน Navara, นิสสัน Patrol, โตโยต้า Land Cruiser, Hilux และมิตซูบิชิ Pajero L-200 ล้วนเป็นรถที่โมดิฟายไปจากค่าย Exrem4x4 ที่สร้างชื่อเสียงยืนยง เป็นที่รู้จักของคอออฟโรดที่เห็นผลงานคุณภาพระดับสูงรวมถึงผลการแข่งขันที่ได้รับชัยชนะในงานใหญ่ ๆ เรื่อยมาจนเป็นที่รู้จักของมือออฟโรดภายในโปแลนด์และต่างประเทศ หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นคือเจ้า ‘ม็อกซิลล่า’ คันนี้ ซึ่งเจ้าของรถชื่อ Derek เป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าสำนักมายาวนาน Darek ซื้อรถบรรทุกเมอร์เซเดส ยูนิม็อก รุ่น 416 ด้วยใจรักรถยูนิม็อกเป็นอย่างยิ่งและเป็นคนเดียวที่รู้วิธีขับ
รถคันนี้ในการใช้งานหนักการลุยไปบนพื้นที่ทุรกันดาร โดยเฉพาะที่มีส่วนช่วยเหลือในภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ในปี 2010 ซึ่งรถยูนิม็อก 416 คันนี้เป็นรถที่ผลิตจากเยอรมันตั้งแต่ปี 1979 (อายุกว่าสามสิบปีมาแล้ว) โดยรถบรรทุกคันนี้เดิมใช้อยู่ ในสนามบินเบลเยี่ยมขณะที่ Darek ซื้อเป็นรถมือสองวิ่งไปเพียง 20,000 กม.สภาพเดิมๆทุกอย่าง 100%
ข้อมูลทางเทคนิครถยูนิม็อก 416 เครื่องยนต์ดีเซล 5,675cc มีกำลัง 100 แรงม้า น้ำหนักรถ 3,700 กิโลกรัม (รวมน้ำหนักบรรทุก 6,500 กก.) ความเร็วสูงสุด 85 กม./ชม. ขับเคลื่อน 4×4 ล้อ เพลาขับหน้าและเพลาขับหลังแบบ ล็อค 100% กับยางและล้อขนาดใหญ่ ช่วงล่างสปริงยาว เกียร์เดินหน้า 6 สปีด และเกียร์ถอยหลัง 2 สปีด ดิสค์เบรก หน้า/ หลัง ติดตั้งวินช์มาพร้อมจากโรงงาน แถมยังมีระบบไฮดรอลิก outlets, power outlets on shafts และยังมีอะไรอีก หลายรายการเช่น snorkel ที่ติดมากับรถพร้อมลุยงานหนักได้อย่างเต็มพิกัด เราอาจจะกล่าวได้ว่า Unimog เป็นยานพาหนะที่ไม่น่าจะเรียกว่ารถยนต์ มันเป็นเครื่องจักรเคลื่อนที่ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่องานหนักโดยเฉพาะ เป็นการผสมระหว่างรถแทร็กเตอร์กับรถบรรทุก ยิ่งมาดูภายในด้วยแล้วมันธรรมดา มากๆไม่มีสิ่งสวยงามประดับประดาอะไรเลย เสียงเครื่องยนต์ดีเซลยี่ห้อ Rudolf ดังไม่เหมือนใครมันเหมือนเชิญชวนคุณ ให้กระโดดขึ้นไปขับมันกระโดดและหมุนไปมา ใครที่ได้ลองขับเจ้ามอนสเตอร์คันนี้ จะมีเสียงหัวเราะเหมือนเด็กที่เล่น สนุกในสวนเด็กเล่น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ ควันที่เป่าออกท่อไอเสีย กลิ่นเผาไหม้ของเชื้อเพลิง มันต่างกับรถรุ่นใหม่ ๆ โดยสิ้นเชิง
ยูนิม็อก เป็นรถที่ไม่ได้สร้างมาให้มีแรงม้ามากมายแต่ถ้าใครได้ขับในการลุยออฟโรดแล้วจะหลงไหลไป ตามๆกัน ก่อนจะทำการผ่าตัด รถเดิมเป็นหัวเก๋งแบบ 2 ที่นั่งพร้อมกระบะบรรทุก และมีบอดี้รถแบบ 4 ที่นั่ง คุณ Darek เจ้าของรถ มีไอเดียอยากจะได้รถที่มีห้องโดยสารแบบ 6 ที่นั่ง ทาง “Extrem4x4” จึงวาดฝันให้เป็นจริงด้วยการผ่าตัดและ สร้างชิ้นส่วนขึ้นใหม่แบบ Custom Build รวมถึงส่วนประกอบต่างๆใหม่ทั้งหมด อย่างเช่นงานตัดบอดี้ สร้างพื้นใหม่ แต่ส่วนที่ยากสุดนั่นคือการสร้างประตูรถขึ้นมาใหม่ทุกบานจึงไม่ใช่เรื่องง่าย รวมทั้งงานสร้างบอดี้ใหม่ให้ดูสวยงาม รวมทั้งการประกอบบอดี้รถให้ดูสวยงามลงตัวพร้อมทั้งการติดตั้งตัวบอดี้กับแชสซีรถซึ่งเป็นงานหลักเบื้องต้น หลังจากนั้นก็จะต้องติดตั้ง อุปกรณ์ออฟโรดซึ่งไม่ง่ายเหมือนการโมดิฟายรถออฟโรดทั่วๆไป และแน่นอนทุกอย่างต้องทำด้วยมือหรือเป็นงาน Hand Made ทั้งสิ้น
หลังจากทำกันชนหน้า/หลังสำเร็จก็ติดตั้งวินช์ไฟฟ้าขนาด 7.5 ตัน ฝังไว้ในด้านหน้าพร้อมกับมีไฟส่องสว่าง Xenon ฮาโลเจนเข้าไป 1 คู่ ส่วนในกันชนหลังติดตั้งวินช์ไฟฟ้า พร้อมขายึดยางอะไหล่และวินช์ตัวที่ 3 เพื่อช่วยผ่อนแรงในการเคลื่อนย้ายยางอะไหล่ ที่มีน้ำหนักถึง 90 กก.ขึ้น/ลง และยังมีกล่องเก็บเครื่องมือที่จำเป็นไว้ภายในอีกด้วย ส่วนด้านข้างทั้งสองด้านเป็นถังน้ำมันทำจาก Stainless แต่ละถังบรรจุน้ำมันดีเซลได้ถึง 130 ลิตร x 2 รวม 260 ลิตร และใกล้ๆกับถังน้ำมันมี ที่เก็บแบตเตอรี่อีก 2 ลูก และติดตั้ง Main Power สวิตช์ไว้ด้วย ทั้งน้ำมันและแบตเตอรี่มีแผ่นอลูมินั่มปิดทับจากประตู รถด้านล่างถึงแชสซี
ส่วนด้านหลังคาก็ใส่ Roof rack ที่ทำขึ้นอย่างปราณีตพร้อมติดตั้งสปอตไลท์ LED ช่วยให้แสงสว่าง อย่างเหลือเฟือในการใช้งานยามค่ำคืน ส่วนภายในห้องโดยสารแบบ 6 ที่นั่งติตตั้งเบาะแบบ Bucket Seat พร้อมเข็มขัด นิรภัย 4 จุดที่ใช้กับรถแข่งเพื่อการขับขี่อย่างผาดโผนได้อย่างปลอดภัยกับผู้โดยสารทุกที่นั่ง ซึ่งในที่สุด เจ้า “ม็อกซิลล่า” ก็เสร็จสมบูรณ์พร้อมลุยไปไหนก็ได้บนโลกใบนี้
หลังจากการโมดิฟายจบสิ้นลงก็ถึงเวลาต้องนำรถไปจดทะเบียน Darek เจ้าของรถก็นำผลงานระดับมาสเตอร์ พีซออกโชว์ในงาน International Hunters Fair รถคันนี้ได้รับความสนใจจากผู้คนที่มารุมล้อมดูกันอย่างเนืองแน่น แต่ยัง ไม่จบเพียงแค่นั้นหลังโชว์ตัวเสร็จก็นำรถไปที่ร้านทำเบาะเพื่อสร้างที่นอนในรถ และส่งต่อไปอัพเกรดเครื่องยนต์เซ็ตเทอร์โบชาร์เจอร์และปรับแต่งปั๊มหัวฉีดเพื่อเพื่อเพิ่มสมรรถนะ ให้มีความแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ผมขอขอบคุณท่านเจ้าของรถคันนี้คุณ Darek และทีมงาน “Extrem4x4” แห่งโปแลนด์ ที่ได้เอื้อเฟื้อแบ่งปันให้ ผมได้มีโอกาสได้ดูรถคันนี้อย่างใกล้ชิดและเก็บภาพรายละเอียดต่าง ๆในการสร้างสุดยอดของรถยูนิม็อกคันนี้ซึ่งผมตั้งชื่อ มันใหม่ว่า “Mogzilla” เจ้าลิงยักษ์ที่จะปีนป่ายไปไหนมาไหนกับความสุขในการขับขี่ของเจ้าของรถคัน และยิ่งดูภาพถ่าย ทั้งหมดแล้วเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจได้ดีและมีความสุขกับเจ้า Monster Unimog คันนี้นะครับ…..
โดย พิทักษ์ ปราดเปรื่อง ภาพและเรื่องจาก Fred M. Krijgsman / xtreme-adventure.com
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.