DS N°8 ครอสโอเวอร์ไฟฟ้าระดับเรือธง
DS Automobiles แบรนด์รถยนต์หรูในเครือ Stellantis เผยโฉม N°8 รถครอสโอเวอร์ไฟฟ้าที่นอกจากจะมาทำตลาดรถในระดับเรือธงแล้ว ยังเป็นการแสดงถึงทิศทางใหม่ของแบรนด์ และเป็นรถรุ่นแรกของแบรนด์ที่ถูกผลิตขึ้นบนสถาปัตยกรรม STLA Medium ของ Stellantis
ภายนอกของ DS N°8 นำดีไซน์หลักมาจากรถคอนเซ็ปต์DS Aero Sport Lounge ที่ถูกแสดงครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งเน้นแอโรไดนามิกของรถ มีแนวเส้นหลังคาที่ไหลลื่น พร้อมตัวถังรถที่ถูกออกแบบเพื่อให้รถมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้าน 0.24 Cd เพื่อให้รถมีระยะเดินทางไกลขึ้น ส่วนการออกแบบรถมีด้านหน้าที่ปิดสนิท พร้อมกระจังหน้าปิดและโลโก้เรืองแสง ร่วมด้วยไฟหน้าDS Pixel Vision เรียวเล็ก ในขณะที่ไฟ Daytime Running Light เป็นแถบไฟแนวตั้งที่ยาวลงมาถึงกันชนหน้า ขณะที่ด้านหลังของรถมีไฟท้ายที่มีรูปทรงสะท้อนการออกแบบมาจากไฟหน้าและไฟ Daytime Running Light สร้างไฟซิกเนเจอร์ใหม่ของแบรนด์
รถยังมีเสา C-Pillar ที่เรียวเล็กลาดเอียงลงสู่สปอยเลอร์หลัง รวมทั้งรถมาในสไตล์ทูโทนโดยมีสีดำในส่วนบนของรถทั้งฝากระโปรงหน้า เสา หลังคา รวมทั้งส่วนล่างของกันชนหน้า กันชนหลัง คิ้วแต่งซุ้มล้อและคิ้วประตูยังเป็นสีดำ นอกจากนี้รถยังมีล้อฟอร์จขนาด 21 นิ้ว และมือจับเปิดประตู Flush Door ซ่อนอยู่ในตัวรถ ในขณะที่ตัวรถมีความยาว 4.82 เมตร กว้าง 1.90 เมตร สูง 1.58 เมตร โดยมีระยะฐานล้อยาว 2.90 เมตร
ห้องโดยสารของรถที่เน้นความพรีเมียมมากับจอแสดงข้อมูลการขับขนาด 10.25 นิ้วหลังพวงมาลัย 4 ก้าน ส่วน Infotainment ทัชสกรีนกลางแผงแดชบอร์ดมีขนาด 16 นิ้ว รวมทั้งมีการแสดงข้อมูล Augment-Reality Head-up Display ขณะที่คอนโซลกลางของรถถูกออกแบบให้มีลักษณะลอยตัวสองชั้น พร้อมมีกราฟฟิกไฟ Star-inspire และสวิตช์ควบคุมคล้ายคริสตัล โดยรถยังมีไฟ Ambient Lighting ที่ยาวต่อเนื่องจากแผงแดชบอร์ดมาถึงประตูของรถ
ทางผู้ผลิตยังระบุว่าออกแบบการหนุนเบาะเพื่อให้มีความสบาย พร้อมมีการทำงานนวดและปรับความอุ่นที่เบาะหน้า ในขณะที่เบาะหลังมีการทำงานปรับความเย็นและความอุ่น นอกจากนี้รถยังมาพร้อมระบบเสียง Electra 3D ลำโพง 14 ตำแหน่งจาก Focal รวมทั้งใช้ Alcantara และหนัง Fill-gain ที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลในห้องโดยสาร
การขับเคลื่อนรถหากเป็นรุ่นขับเคลื่อนด้วยสองล้อหน้า มีทั้งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว 169 kW หรือ 230 แรงม้า หรือมอเตอร์ไฟฟ้า 180 kW หรือ 245 แรงม้า พร้อมมีฟังก์ชันเพิ่มกำลังขับเคลื่อนชั่วคราว 30 แรงม้า ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อมากับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ให้กำลังรวม 257 kW หรือ 350 แรงม้า สามารถเพิ่มกำลังเป็น 375 แรงม้าด้วยฟังก์ชันเพิ่มกำลังขับเคลื่อนชั่วคราว สามารถทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลา 5.4 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดของรถถูกจำกัดไว้ที่ 190 กม./ชม.
แบตเตอรีของรถมีความจุระหว่าง 74 kWh หรือ 97.2 kWh ให้ระยะเดินทางถึง 572 กิโลเมตรและ 750 กิโลเมตรตามลำดับสำหรับรุ่นขับเคลื่อนด้วยสองล้อหน้า แต่รุ่นขับเคลื่อนด้วยทุกล้อเดินทางได้สูงสุด 686 กิโลเมตร โดยแบตเตอรีรองรับการชาร์จไฟแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC ถึง 200 kW ใช้เวลา 27 นาทีเพื่อชาร์จไฟจาก 20-80 เปอร์เซ็นต์
การขายรถจะมีที่ยุโรปช่วงกลางปี 2025 ส่วนราคารถจะออกมาในช่วงใกล้ขาย
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย Off Road Magazine
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ Off Road Magazine
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.