จากลุ่มเจ้าพระยาทะยานสู่หลังคาโลก-ขับรถตะลุย ‘กรุงเทพ-ลาซา’ 4,000 กม.

ลาซา (Lhasa) เมืองเอกของเขตปกครองตนเองทิเบต (มณฑลซีจ้าง) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ได้รับการกล่าวขานให้เป็น “หลังคาของโลก” (The Roof of the World) หรือ “เมืองแห่งแสงตะวัน” จากการที่นครแห่งนี้ตั้งตั้งอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลราว 3,650 เมตร นับเป็นเมืองหลวงที่สูงที่สุดในโลก

พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเทือกเขาที่มียอดเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนตลอดทั้งปี ทำให้มีภูมิอากาศที่หนาวเย็นมาก มีความกดอากาศ และออกซิเจนที่ต่ำ ทิเบตเป็นดินแดนที่ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง ดวงอาทิตย์จะขึ้นช้ากว่าไทย 2 ชั่วโมง

ความอบอุ่นจากแสงแดดยามกลางวันจึงทำให้อากาศเย็นสบาย แม้คำว่า “เดือนที่หนาวที่สุดของหลังคาโลก” จะฟังดูน่าหวาดหวั่น แต่ที่จริงแล้วอุณหภูมิเฉลี่ยของเดือนกันยายนจะอยู่ระหว่าง 1-10 องศาเซลเซียส

รู้ไว้ก่อนไป!

เขตปกครองตนเองทิเบตเป็นดินแดนที่มีความละเอียดอ่อนทางการเมือง การเข้าถึงจึงไม่ง่าย และไม่ประหยัดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด หากใครนิยมท่องเที่ยวแบบใช้งบถูกๆ คงต้องข้ามทริปนี้ไป เพราะการเดินทางเข้าทิเบตต้องใช้เอกสารขออนุญาตพิเศษ นอกเหนือจากวีซ่าเข้าประเทศจีน ทำให้นักท่องเที่ยวจำเป็นต้องมีบริษัททัวร์ท้องถิ่นคอยดูแล และติดต่อดำเนินการเรื่องเอกสารเข้าทิเบต  ด้วยเหตุนี้การเที่ยวทิเบต แบบเที่ยวเอง จึงเป็นไปไม่ได้เลยครับ

แม้ว่าทิเบตจะเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนมายาวนานกว่า 70 ปี แต่อัตลักษณ์ และวัฒนธรรมประเพณีของชนชาตินี้มีประวัติศาสตร์มายาวนาน และมีความเฉพาะตัว เป็นหนึ่งในพื้นที่ซึ่งมีคุณภาพสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในระดับโลกประจำปี 2019 โดยระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่นมีเสถียรภาพ และสมบูรณ์อย่างมาก แทบจะไม่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมขึ้นในพื้นที่นี้เลย ซึ่งทุกคนที่มาเยือนสามารถสัมผัสได้เลย

ทริปนี้คณะของเราเลือกขับ Ford Ranger Raptor เครื่องยนต์ดีเซล จากกรุงเทพ มาเริ่มเส้นทางภูเขา ขับเลนสวนที่เมืองหยาอัน มณฑลเสฉวน ห่างมาจาก กรุงเทพ 2,500 กิโลเมตร โดยเราใช้เส้นทาง G318 ที่สวยที่สุดในจีนตะวันตกเฉียงใต้ G318 Highway Overland เมืองเฉิงตู-ลาซา

ทำไม ? ต้องเลือกเส้นทางใต้

ทางหลวงเสฉวน-ทิเบต 318 ( G318 ) จากเซียงไฮ้ มุ่งหน้าสู่เมืองจางหมู่ ในประเทศจีน-ชายแดนเนปาล เป็นเส้นทางที่ยาวที่สุดในประเทศจีนบนทางหลวงแห่งชาติ ระยะทาง 5,476 กิโลเมตร (3,403 ไมล์) ในความยาว และวิ่งมาจากทางตะวันตกเซียงไฮ้, เจ้อเจียง, มณฑลอานฮุย, หูเป่ย, ฉงชิ่ง, เสฉวน และรอบนอกของเขตปกครองตนเองทิเบต

การเดินทางจากมณฑลเสฉวนไปยังทิเบต เป็นหนึ่งในการเดินทางบนถนนที่สวยงามยอดเยี่ยมของจีนบนเส้นทางระยะทางกว่า 2,200 กิโลเมตร จะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเสฉวนตะวันตก และหนิงชี ในทิเบต เส้นทางเริ่มต้นจากเฉิงตู และมีทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด

เส้นทางตอนใต้ของทางหลวงเสฉวน-ทิเบต คนจีนเองจะมองว่าเป็นเส้นทางที่งดงามกว่าในแง่ของทิวทัศน์ แต่ก็ถือว่าเป็นเส้นทางที่ทรหดมาก ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับรถ ทำให้คนในประเทศเลือกเป็นเส้นทางสำหรับการขับรถสู่ทิเบต เป็นเส้นทางชมวิวที่สวยงามที่สุดของทิเบต และเป็นเส้นทางแสวงบุญ เพื่อไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ของลาชา ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุดในทิเบต และเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาในทิเบต

ทุกๆ วัน ชาวพุทธทิเบตจากภาคตะวันตกของเสฉวน จะออกเดินทางระยะทาง 2,149 กิโลเมตร ข้ามป่าทางตะวันตกของเสฉวน และหุบเขาอันสวยงามของหลินจือ เพื่อไปยังกรุงลาซา และวัดโจคัง ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในทิเบต

ช่วงกันยายน-ตุลาคมของทุกปี เป็นที่ดีที่สุดของการขับรถเส้นทางนี้ ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เนื่องจากฤดูใบไม้ร่วงจะหยุดอยู่ในมณฑลเสฉวนตะวันตก และทิเบตตะวันออกเฉียงใต้ ฤดูฝนสิ้นสุดลง และอากาศยังคงอบอุ่น ทำให้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเดินทางตามทางหลวง ด้วยสภาพอากาศที่อบอุ่นและฝนตกน้อยจึงเป็นเวลาที่ดีที่สุด

ขับรถมาทิเบต, จีน ใครว่าสบาย…

ต้องทนทั้งความหนาวฝน 4-5 องศาเซลเซียส ทนทั้งความสูง อากาศเบาบางช่วงระดับเหนือน้ำทะเล 5,000 เมตร วัดดวงกับการปิดทางซ่อมถนน, ดินถล่ม และเสบียงที่ตุนมา ก็เลยได้ใช้บ่อย ลุ้นทุกวัน ว่าจะได้ถึงที่พัก จะทันมั้ย …ไม่ทัน ก็ต้องเปิดห้องพักริมทาง แบบไม่ต้องอาบน้ำ มุดตัวใต้ผ้าห่มไฟฟ้า ไม่ต้องทานข้าว (เพราะเป็นมื้อที่รสชาติไม่ไหว)

เข้าสู่เส้นทางที่ระดับความสูง 4,000-5,100 เมตร ผิวทางที่แคบ พอดีคันรถ อีกด้านนึ่ง เป็นผนังภูเขาสูงชัน และอีกงานนึงเป็นลำธารน้ำ

เมื่อฝนตกทั้งคืนก็เกิดดินไหลถล่มปิดทางระหว่างจอดรถ นานๆ รอเจ้าหน้าที่จีน ใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ เคลียร์เปิดทางช่วงระหว่างขับแซงซ้ายขึ้นทีละคัน

พอมาถึงทิเบตแล้วสิ่งที่เราได้สัมผัส คือเรารู้อยู่แล้วว่าทิเบต สูงมากแต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือแสงแดดจากความสูงระดับน้ำทะเลสูงถึง 4-5 กิโลเมตร ทำให้เราไม่สามารถเดินตากแดดได้นาน แดดโดนผิวเราจะแสบมาก อากาศแห้งมากครับ ควรพกเสื้อแขนยาว แว่นกันแดด ครีมกันแดดมาด้วย

ทิเบตอยู่บนที่สูง อากาศเบาบางมาก ออกซิเจนจะลดลง 30-40 เปอร์เซ็นต์ ปอดเราหายใจเหมือนเหลือเพียงแค่ข้างเดียว โดยสมาชิกคาราวานเราได้เตรียมยา Diamox มาด้วยเพื่อแก้ป่วยแพ้ความสูงหรือ Acute Altitude Sickness ยานี้ช่วยเราได้เยอะมากครับ

เวลาเราได้ยินคนที่นั่นคุยกันจะเป็นอีกหนึ่งภาษาไม่ใช่ภาษาจีน ทิเบตใช้ภาษาทิเบตของตัวเอง และโทรศัพท์มือถือเราเจอสัญญาณ Wi-Fi ที่จีน จะไม่สามารถใช้ได้ ต้องเปิด Roaming จากเมืองไทย ซึ่งค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพงอย่างของผมใช้ค่าย Dtac ต้องจ่าย 499 บาทได้มา 16 gb

ชาวทิเบตนับถือศาสนาพุทธแบบวัชรยานอย่างเหนียวแน่น และศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต และการปกครอง แต่ก็ถูกรัฐบาลจีนเข้าเปลี่ยนแปลงการปกครอง และพัฒนาความเป็นเมืองเข้ามาแทนที่ ชาวบ้านจะเคารพรัก และศรัทธาองค์ดาไลลามะอย่างมาก โดยปัจจุบันองค์ดาไลลามะเสด็จลี้ภัยประทับอยู่ที่ประเทศอินเดีย

ครั้งนี้เราขับรถมาเริ่มต้นที่มณฑลเสฉวน เพื่อปรับสภาพร่างกายให้ชินกับความสูงก่อน ช่วงระหว่างที่เราขับรถมาทิเบต จะเห็นจากทิวทัศน์ช่วงกรุงลาซา ระหว่างทางว่าเต็มไปด้วยภูเขาสูงชันทำให้ที่นี่เหมือนเป็นดินแดนปิดไปโดยปริยาย และไม่มีต้นไม้สูงอะไร จะเป็นภูเขาโล้นๆ เพราะที่นี่อยู่สูง ปลูกอะไรไม่ค่อยขึ้น

จากที่สังเกตจะเห็นว่ากรุงลาซา ยังมีความดิบตามธรรมชาติจากสภาพภูมิประเทศอยู่มาก ขณะเดียวกันก็ถูกความเป็นเมืองรุกรานไม่น้อย เพราะจีนเข้ามาปกครองพัฒนาตั้งแต่ปี 2008 ที่เรียกได้ว่าเปลี่ยนโฉมหน้าไปมาก เราจะเห็นตึกรามบ้านช่อง ตึกสูงตามทางมากมาย เราได้เห็นร้านกาแฟสตาร์บัคส์, ไก่ทอดเคเอฟซี และร้านแมคโดนัลด์

ทำให้แอบผิดหวังนิดๆ เพราะคิดว่าจะมาเห็นความเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมเก่าแก่เหมือนที่ ขับรถไปประทับใจกับภูฏานก่อนหน้านี้

พระราชวังโปตาลา-ไฮไลต์สำคัญของทริปทิเบต

เราตื่นเช้าเพราะต้องขึ้นรถบัส มาตามบัตรที่ไกด์ท้องถิ่นจองเวลาเข้าเยี่ยมชมครับ วันนี้ได้พักรถ 1 วันไม่ต้องสตาร์ทเครื่องเลย ไกด์ท้องถิ่น จะจัดการจองบัตรเข้าชมพระราชวังโปตาลา รวมถึงนัดหมายเวลาเข้าชมให้เรา

ที่นี่จะไม่ปล่อยนักท่องเที่ยวล้นทะลักเข้าไปจะต้องนัดเป็นรอบๆ ส่วนมากไม่มีนักท่องเที่ยวมาเพียงลำพัง ด้วยความยากในการเดินทาง ต้องทำเรื่องเข้าประเทศหลายขั้นตอน ซึ่งรวมถึงการประสานงานเข้าชมพระราชวังโปตาลา เป็นอีกเหตุผลที่ต้องใช้คาราวานทัวร์ที่เชี่ยวชาญ

พระราชวังโปตาลา ติดอันดับ China’s World Heritage สร้างขึ้นในสมัยค.ศ. 7 บนเนื้อที่ 120,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนยอดเขามาร์ไปรี (เขาแดง) เป็นอาคารสูง 13 ชั้น มีห้องต่าง ๆ ร่วม 1,000 กว่าห้อง มีเสาค้ำยันอยู่กว่า 15,000 ต้น

สร้างโดยกษัตริย์จงซานกานปู้ ที่เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้รวบรวมก่อตั้งทิเบตขึ้น โดยสร้างสำหรับพระ 2 องค์ที่เป็นชาวจีน และเนปาล ต่อมาที่นี่จึงกลายเป็นที่สถานศึกษาของท่านดาไลลามะทุกพระองค์ ซึ่งจะทรงพำนักที่นี่ในฐานะประมุขประเทศและประมุขทางศาสนา

เข้าเยี่ยมวัง(วัด) เราต้องเดินขึ้นเนินไปเหนี่อย พอสมควรเลยไม่ใช่ใกล้ ๆ ไม่ใช่เดินแป๊บเดียว อากาศก็น้อย ก็เดินหอบไป ลิ้นห้อยไป แต่จะเห็นวิวเมืองลาซาด้านล่างได้ชัดเจน มองจากบนวัดลงมาสวยจนแทบลืมหายใจ (ยิ่งอากาศน้อย ๆ ลืมหายใจอีกนะ) และการรู้ประวัติสถานที่ท่องเที่ยวที่เราไป ทำให้เราดื่มด่ำกับสถานที่ที่เรามามากขึ้น

และอีกสถานที่ท่องเที่ยวเราจะต้องขับรถมาชมคือทะเลสาบยัมดรก (Yamdrok Lake) ซึ่งเป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบตครับ ตั้งอยู่นอกเมือง ต้องขับรถไปไกลประมาณ 200 กิโลเมตรเลยครับ  เส้นทางที่แคบไต่เขาสูง ต้องดูวงเลี้ยวรถ ให้พอดีตัวรถ ที่จอดรถมีจำกัด

วันที่เราไปก็ถือว่าเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวชมเองก็ไม่น้อยเลยครับ เรื่องเครื่องกันหนาวเราต้องเตรียมให้พร้อมกับความเย็นและลมแรงด้วยครับ

ทะเลสาบยัมดรก สวยงามราวกับภาพวาดมาก ๆ คือน้ำใสมากกกก สีแบบที่เห็นนี่เลย ที่นี่อยู่สูงมาก อากาศจะเบาลงกว่าเดิมอีกนะคะ เพราะสูงจากระดับน้ำทะเล 4,700 เมตร ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่ใสสะอาดที่สุด อีกทั้งยังเป็นซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบต สูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,400 เมตร โดยทุกปีจะมีคนนับแสนไปประกอบพิธีล้างบาปที่ทะเลสาบนี้ พอได้มาถึงก็รู้สึกเหมือนฟากฟ้าอยู่แค่เอื้อม

สรุปไฮไลท์ ขับรถมาเที่ยวกรุงลาซา ทิเบต นอกจากเส้นทางภูเขาหิมะแล้ว  หลักๆ คือ พระราชวังโปตาลา และทะเลสาบยัมดรก 2 แห่งนี้ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เราขับรถ มาให้เห็นด้วยสายตาตัวเองครับ…

ในช่วงสุดท้ายผมขอพูดถึงการเตรียมรถขับทางไกลข้ามประเทศ 20 วันในทริปนี้ โดยเริ่มต้นจากกรุงเทพฯ ข้ามชายแดนสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และขับต่อไปเพื่อเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ด่านบ่อหาน (หมัวฮาน) เมืองชายแดนทางตอนใต้ เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน เพื่อใช้เป็นเส้นทางต่อไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่ทิเบต

การเตรียมรถสำหรับเดินทางไกลอันดับแรกคืออยางอะไหล่ และทริปแบบนี้อย่างน้อยต้องชวนเพื่อนไปด้วยกันอย่างน้อย 2 คัน เพราะว่าเราจะมียางอะไหล่ 2 เส้น และยางของรถ Ford Ranger Raptor ที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางกว่า 4,000 กิโลเมตร เป็นยางแบบ All-Terrain ของ BFGoodrich ในรุ่น KO2 ซึ่งมีขนาดพิเศษที่มีความใหญ่ต่างกับรถกระบะทั่วไปคือ 285/70 ขอบ 17

นอกจากนี้เป็นการตรวจเช็คอุปกรณ์ที่ใช้ถอดล้อ/ยาง แม่แรงทั้งหมด ต่อมาเป็นเรื่องของเหลวไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเฟืองท้ายด้านหน้า-ตัวกลาง และด้านหลังต้องพร้อมครบๆ

เส้นทางขับจากกรุงเทพไปเชียงราย ช่วงนี้ทางสบายๆ อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันถังความจุขนาด 80 ลิตรเราจะเติมได้ 70 ลิตร (สัญลักษณ์น้ำมันจะเตือนบนหน้าปัดเมื่อเหลือระยะทางการขับ 80 กิโลเมตร) โดยถังหนึ่งจะขับไปได้มากกว่า 700 กิโลเมตร ตรงนี้ถือว่าการสิ้นเปลืองน้ำมันแบบดีเซลที่ประหยัดเกือบเป็น 2 เท่า ถ้าเทียบกับ Ranger Raptor ขุมกำลังเบนซิน V6 ที่มีกำลัง 397 แรงม้า

หลังจากข้ามด่านเชียงของไปแล้ว เราจะขับในสปป.ลาว ผ่านเมืองห้วยทราย, เวียงภูคา และหลวงน้ำทา ตามลำดับ ช่วงนี้สภาพผิวทางพังหลายช่วง เราต้องเร่งแซงรถบรรทุกขนาดใหญ่ตลอดเวลาถือว่าแรงบิดขนาด 500 นิวตันเมตร กับน้ำหนักรถ 2.5 ตัน เร่งแซงได้ง่าย

ระบบส่งกำลังที่เรียกว่า 4A ตรงนี้ถือว่าเป็นพระเอกที่มีระบบ 4A ซึ่งปกติรถจะส่งกำลังไปที่เราคู่หลัง ระบบนี้จะเพิ่มระบบส่งกำลังมาที่ล้อคู่หน้าเป็นช่วงสั้นๆ เมื่อเซ็นเซอร์จับได้ได้ว่าเราขับในโค้งเร็วมากจนรถมีอาการลื่นไถล เกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter ทำให้ช่วงขึ้น และลงเขาเร่งแซงนุ่มสบายไร้รอยต่อไม่มีกระตุกเลยครับ

หลังจากขับผ่านด่านจีนที่เมืองบ่อหาน จากตรงนี้เราขับทางด่วนข้ามภูเขา และมุดอุโมงค์ยาวไปกว่า 2,000 กิโลเมตร จนถึงเมืองหย่าอัน มณฑลเสฉวน ทางไกลแบบนี้อัตราการสิ้นเปลืองเราขับได้เฉลี่ย 12 กิโลเมตรต่อลิตรเลยครับ น้ำมันดีเซลจีนเกรดยูโร 5 ราคา 8.6 หยวนหรือประมาณ 43 บาทต่อลิตร เมื่อเติมเต็มถัง ช่วงนี้เราไปไกลได้ 800-900 กิโลเมตรกว่าจะจอดเติมน้ำมันอีกรอบ

ที่ปั๊มน้ำมันในประเทศจีน หัวจ่ายจะมี 2 ขนาดคือสำหรับรถยนต์เล็ก และรถบรรทุกใหญ่ ตรงปากคอถังน้ำมัน Raptor ไม่มีฝาปิดเหมือนรถกระบะทั่วไป เราต้องเลือกเติมได้เฉพาะหัวจ่ายน้ำมันที่มีขนาดเล็กเท่านั้น ทำให้ต้องขับวนหาหัวจ่ายขนาดเล็กอยู่หลายครั้ง

ช่วงเส้นทางจากมณฑลเสฉวนไปกรุงลาซา ตรงนี้เรียกว่าเส้น G 318 ที่คนจีนในหลายมณฑลจะนิยมใช้เส้นทางนี้ซึ่งเป็นเส้นทางที่สวยงามขับบนภูเขาหิมะไปผจญความหนาวบนยอดเขาด้วยกัน

การที่เราขับบนความสูงระดับ 4,000-5,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ตลอด 1,500 กิโลเมตร ปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับรถเราคือช่วงเช้าต้องแตะปุ่ม Start นานขึ้นเนื่องจากอากาศเย็นมากมีติดลบในบางเมือง สำหรับรถรุ่นอื่นถึงกับหมดแรง เร่งแสงไม่ขึ้นเนื่องจากอากาศที่บางมาก

แต่จะเป็นแค่ช่วงวันแรกแรกเท่านั้นหลังจากที่เซ็นเซอร์อ่านอากาศเย็น และปรับแรงดันของอากาศวันต่อไปก็ขับได้ปกติ ช่วงฤดูหนาวน้ำมันดีเซลที่ขายในประเทศจีนจะมีเกรดดีเซล -10 องศา และ -35 องศาให้เราเลือกเติมที่เหมาะสมกับอากาศในช่วงที่เราไปด้วยครับ

ช่วงก่อนถึงทิเบตประมาณ 700 กิโลเมตร เราต้องขับผ่านข้ามภูเขานูเจียงที่มีโค้งพับหักศอกสูงชันถึง 72 โค้ง บนจุดสูงสุด 5,300 เมตร ตรงนี้เราได้ใช้พลังในการเร่งแซง และสมรรถนะระบบช่วงล่างเต็มรูปแบบ ด้านหลังที่เป็นคอยล์สปริง ทำให้รถมีความแข็งแกร่ง และนุ่มสบาย เราขับแบบไม่ต้องเบรกบ่อย ไม่ต้องเบาเพื่อหยอดในร่องถนน เราขับผ่านอุปสรรคที่ว่ายากๆ เปลี่ยนเป็นง่ายได้ทั้งหมดเลยครับ

ช่วงที่เรากดเบรกฉุกเฉิน ระบบรถจะจับดิสก์เบรกหลังก่อนเบรกหน้า ส่งผลให้การทรงตัวในทางโค้งลื่นๆ ควบคุมทำได้ดีกว่า และตรงกันข้ามกับระบบเบรกอัตโนมัติที่เบรกเองเมื่อโดนรถคันหน้ากระแทกเบรกเร็ว ระบบเบรกของรถเราทำงานก่อนเท้าแตะแป้นเบรกเสียอีก ตรงนี้ดิสก์เบรกหน้าจะจับก่อนดิสก์เบรกหลัง

ตลอดเส้นทางบนภูเขาสูงชันทุกครั้งที่เราจอดแวะพักจะมีคนจีนเข้ามาขอถ่ายรูปรถ Ford Ranger Raptor อยู่ตลอด เนื่องจากเป็นสีส้มที่เด่นสวยงาม คนจีนจะชอบ Ford มาก แต่บ้านเขามีครับเป็นรถเอสยูวี Ford ใหญ่ๆ และมี Raptor กระบะขนาดใหญ่รุ่น F150 ไปเลยเท่านั้น

อีกความพิเศษในการขับกระบะที่เมืองจีนคือจะจ่ายค่าทางด่วนถูกกว่ารถยนต์นั่ง 4 ประตู และรถอเนกประสงค์ เนื่องจากทางการจีน มองว่ารถกระบะเป็นรถใช้งานเชิงพาณิชย์ ทำให้ค่าทางด่วนที่รถเก๋งต้องจ่าย 600 หยวนหรือ 3000 บาท รถกระบะจ่ายแค่ 500 หยวนต่างกัน 100 หยวนหรือว่า 500 บาทเลยทีเดียว

การขับรถข้ามมณฑลจากยูนานที่มีคุณหมิงเป็นเมืองเอก, มณฑลเสฉวน ที่มีเมืองเฉินตูเป็นเมืองเอก และมณฑลซีจ้าง ที่มีกรุงลาซา เป็นเมืองเอก การขับข้ามมณฑลจะมีด่านตรวจเอกสารแบบละเอียด ตรงนี้เราต้องแสดงใบขับขี่จีน และป้ายทะเบียนจีนทุกครั้งที่ข้ามมณฑลซึ่งทุกคันจะต้องทำตั้งแต่เข้าประเทศจีนวันแรก

และการเติมน้ำมันทุกปั๊มในทิเบต เราจะต้องแสดงพาสปอร์ต, ใบขับขี่จีน และทะเบียนรถจีน เป็นระบบความปลอดภัยที่ทางการจีน ไม่อนุญาตให้สถานีบริการขายน้ำมันเติมในถังสำรองเนื่องจากกลัวมีผู้นำน้ำมันไปก่อเหตุวางเพลิง

ตลอดเส้นทางจากกรุงเทพไปกรุงลาซา ประมาณ 10,000 กิโลเมตร รถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูง Ford Ranger Raptor ขุมกำลังดีเซลที่ได้ทั้งแรงได้ทั้งประหยัด ได้ทั้งการทรงตัวที่ดีกว่า ระบบเบรกที่มีจานหน้าขนาดใหญ่ 340 มม. และจานหลัง 330 มม. ทำให้มั่นใจได้มาก

โหมดต่างๆ เช่น Sport เร่งแซงได้สนุก และโหมด Baja จะเห็นรอบเครื่องค้างไว้ในระดับที่มีแรงบิดสูงสุด ทำให้เรากระชากคันเร่งปีนขึ้นยอดเขา ได้สนุก และปลอดภัยมาก

สรุปว่าเราขับ Ford Ranger Raptor 2.0L Bi-Turbo 4WD 10AT คันนี้ไปกลับทิเบต ทุกอย่างยังคงสมบูรณ์มาก ไม่เหนื่อยล้า จนคิดว่าทริปหน้าคงต้องไปให้ไกลมากกว่า 20,000 กิโลสักครั้งหนึ่ง

เรื่อง & ภาพ จีรศักดิ์ สุวรรณพืช

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    Cookies Details

Save