Fiat 600e แฮทช์แบ็กอเนกประสงค์ขนาดเล็ก สูตรสำเร็จสำหรับคุณ

Fiat เคยทำรถรุ่น 600 ออกมาในลักษณะรถขนาดเล็กสไตล์ฟาสต์แบ็ก 2 ประตูและมินิเอ็มพีวีช่วงปี 1955-1969 จากนั้นก็ทำออกมาอีกครั้งในรูปแบบรถแฮทช์แบ็กขนาดเล็กตอนปี 2005-2010 ตอนนี้ชื่อรุ่นรถนี้ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับมี e ตัวท้ายเพื่อแสดงถึงการใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อนสำหรับการทำตลาดรถแฮทช์แบ็กบี-เซ็กเมนต์

Fiat 600e มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังขับเคลื่อน 156 แรงม้า ซึ่งสามารถทำให้รถมีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลา 9 วินาที สำหรับแบตเตอรีของรถมีขนาด 54 kWh สามารถให้พลังงานสำหรับการเดินทางได้ 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จ โดยที่รถรองรับการชาร์จไฟ 100 kW ซึ่งทำให้ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีเพื่อชาร์จไฟถึง 80 เปอร์เซ็นต์เมื่อชาร์จไฟกับสถานีชาร์จเร็ว ขณะดียวกันรถก็มาพร้อมกับระบบชาร์จ 11 kW ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 6 ชั่วโมงเพื่อชาร์จไฟจนเต็ม

รถแฮทช์แบ็กไฟฟ้ารุ่นใหม่ถูกระบุว่าเน้นในการนำเอาลักษณะ Dolce Vita มาสู่ลูกค้า โดยในช่วงแรกมี 2 เกรดแต่งให้เลือกระหว่าง RED และ La Prima โดยเกรดแรกรถจะมีสีแดงเฉพาะซึ่งนำแรงบันดาลใจมาจากองค์กรที่มีภาระกิจต่อต้านโรคเอดส์ อย่างไรก็ตามทางผู้ผลิตยังมีสีขาวและสีดำให้เลือกสำหรับเกรดแต่งนี้ด้วย ส่วนห้องโดยสารของรถถูกแต่งด้วยสีแดงไม่ว่าภายนอกรถจะเป็นสีใด พร้อมกับใช้เบาะผ้าที่มาจากการรีไซเคิล

สำหรับเกรดแต่ง La Prima ถูกระบุว่าให้อิสระในการออกแบบเพื่อความงามของรถมากขึ้น โดยมี 4 สีภายนอกให้เลือกซึ่งล้วนแต่ได้แรงบันดาลใจมาจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศอิตาลีอย่างสีส้ม Italian Sun Orange สีเขียว Italian Sea Green สี Italian Land Sand และสีฟ้า Italian Sky Blue ส่วนห้องโดยสารของรถมีระบบไฟ LED ที่เรียกว่า Chromotheraphy ซึ่งมีไฟ 8 สีเด่นให้เลือกใช้สำหรับส่วนต่างๆ ของห้องโดยสาร รวมทั้งมีอุปกรร์มาตรฐานอย่างเบาะไฟฟ้าปรับความอุ่นและนวดได้ ส่วนเบาะหุ้มด้วยหนังเทียมสีงาช้างแต่งด้วยสีเขียว Turquoise

รถทั้ง 2 เกรดแต่งจะมีอุปกรณ์มาตรฐานอย่างช่องต่อ USB หรือ USB-C ให้เลือก ที่ชาร์จสมาร์ทโฟนไร้สาย รวมทั้งยังสามารถควบคุมระบบปรับอากาศ แตรรถ ไฟ และล็อกรถจากระยะไกลผ่านแอปป์ในสมาร์ทโฟนได้ ส่วนจอระบบ Infotainment ขนาด 10.25 นิ้วรองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto รวมไปถึงมีระบบนำทาง ขณะที่จอแสดงข้อมูลผู้ขับมีขนาด 7 นิ้ว

สำหรับราคาของรถหากเป็นเกรดแต่ง RED เริ่มที่ 35,950 ยูโร ส่วน La Proma เริ่มต้น 40,950 ยูโร และในอนาคตจะมี 600 ซึ่งเป็นรุ่นปลั๊กอินไฮบริดตามออกมา

 

 

 

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

เรียบเรียงข้อมูลโดย Off Road Magazine

ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ Off Road Magazine

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    Cookies Details

Save