Ford ปรับไลน์อัพ-วางตำแหน่ง Maverick โมเดลเริ่มต้นตลาดอเมริกาเหนือ
All-New Maverick รถกระบะคอมแพ็กต์ที่เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกของโลกที่ประเทศสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เตรียมกลายเป็นโมเดลเริ่มต้นรุ่นใหม่ของ Ford ในตลาดอเมริกาเหนือ หลังจากเปิดราคา (พร้อมค่าธรรมเนียมขนส่ง) ไว้ที่ 21,490 ดอลล่าร์สหรัฐฯ (ประมาณ 666,000 บาท) เป็นตัวเลขที่ต่ำกว่ารุ่นล่างสุดของ EcoSport รถซับคอมแพ็กต์ครอสส์โอเวอร์อยู่ราว 150 ดอลล่าร์สหรัฐฯ (ประมาณ 4,650 บาท)
ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่แห่งเมืองดีทรอยต์ เดิมพันกับราคาที่น่าดึงดูดใจ และบริการ Ford Integrated Tether System (FITS) เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้อ Maverick สามารถเลือกออกแบบอุปกรณ์เสริมเพื่อติดตั้งภายในห้องโดยสารพร้อมสั่งทำด้วยตัวเองผ่านเครื่องพรินต์ 3D เพื่อให้คนที่มีงบจำกัดซื้อรุ่นเริ่มต้นไม่รู้สึกว่าโดนทอดทิ้ง หลังจาก Ford ยุติไลน์อัพซีดานในบ้านของตัวเองเมื่อ 3 ปีที่แล้ว พร้อมคาดหวังที่จะขยายความนิยมของรถกระบะสู่ชาวอเมริกันกลุ่มที่เคยปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ารถมีขนาดใหญ่เถอะทะเกินไป—ด้วยการนำเสนอราคาที่จับต้องได้มากกว่า—รุ่นยักษ์ฟูลไซส์ F-Series หรือ Ranger รถกระบะมิดไซส์
“ในภาพรวมมันเป็นรถกระบะที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามรูปแบบการใช้งานของผู้คน Heath Hilliard ผู้ออกแบบภายในห้องโดยสารของ All-New Maverick อธิบายในคลิปวีดิโอการเปิดตัว
รถกระบะไซส์คอมแพ็กต์รุ่นนี้จะเป็นโมเดลแรกของ Ford ที่จะมีเครื่องยนต์ไฮบริดเป็นมาตรฐาน (เครื่องยนต์เบนซิน 2.5-liter Atkinson-cycle ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมสูงสุด 191 แรงม้า) โดยคาดหวังว่าจะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสำหรับการขับใช้งานในเมืองได้สูงถึง 5.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรหรือน้ำมัน 1 ถังต้องวิ่งได้อย่างต่ำ 800 กิโลเมตร แต่มีสมรรถนะที่สามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกได้สูงสุด 680 กิโลกรัม และน้ำหนักลากจูงสูงกว่า 1,800 กิโลกรัม พร้อมทั้งมีขุมกำลังเทอร์โบ EcoBoost 2.0 ลิตร (250 แรงม้า) เป็นอีกตัวเลือกให้ลูกค้าชาวอเมริกันที่คลั่งไคล้ความแรง
หากเทียบกับ Ranger พี่กลางในไลน์อัพรถกระบะ Ford Maverick มีขนาดตัวถังที่สั้นกว่า 28 เซนติเมตร และราคาถูกกว่า 5,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ (ประมาณ 155,000 บาท) แต่ทั้ง 2 โมเดลผ่านการทดสอบเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งระดับเดียวกับ F-150 รถกระบะ Super Duty โดย Maverick ยังผ่านการทดสอบบนถนนจริงเป็นระยะทางรวมมากกว่า 30 ล้านกิโลเมตร จนทีมงานมีความมั่นใจมากพอจะมอบตราประทับ “Built Ford Tough” อ้าแขนรับเข้าสู่ครอบครัวรถกระบะที่ผลิตจากโครงสร้างตัวถังแบบ Unibody
“ทีมวิศวกรของเราไม่มีข้อยกเว้นใดๆ กับการส่งรถรุ่นนี้ลงทดสอบบนเส้นทางสุดโหดทั้งถนนปกติ, ออฟโรด, สภาพแวดล้อมที่แตกต่าง และจำลองสถานการณ์ที่ลูกค้าต้องเจอในการใช้งานจริงจนกว่าจะเป็นที่พอใจของพวกเรา” Chris Mazur หัวหน้าทีมวิศวกร Maverick เล่าถึงการทำงาน “รถกระบะ Ford ต้องเป็นรถกระบะ Ford—อย่างแท้จริงเท่านั้น”
ความอเนกประสงค์ของกระบะท้าย
Ford ระบุว่าจุดดึงดูดใจสำคัญของรถกระบะแบบ 4 ประตูขนาด 5 ที่นั่ง คือความอเนกประสงค์ของการใช้งานกระบะท้าย จนกลายเป็นที่มาของการออกแบบ Flexbed เพื่อติดตั้งใน Maverick โดยจะมีจุดยึดหลายตำแหน่งเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ขนาดความกว้างที่มากพอบรรทุกท่อนไม้ขนาดความยาว 3 เมตร, การติดตั้งแร็คจักรยาน หรือมอเตอร์ไซค์วิบาก ATV พร้อมฝาท้ายที่สามารถปรับให้อยู่ในตำแหน่ง 45 องศา
นอกจากนี้บริเวณกระบะท้ายของ Maverick มีช่องเก็บของซ่อนอยู่ด้านข้างของทั้ง 2 ฝั่ง, ช่องเสียบปลั๊กไฟขนาด 110 โวลต์ และอุปกรณ์เปิดขวด (เป็นผลจากกระแสตอบรับที่ดีของผู้ใช้ Bronco Sport รถครอสส์โอเวอร์ที่ใช้แพล็ตฟอร์มร่วมกัน) โดย Keith Daughert วิศวกรผู้รับผิดชอบงานออกแบบกระบะท้ายของ Ford Maverick ให้ความเห็นถึงผลงานการออกแบบที่รับผิดชอบว่า “พื้นที่กระบะท้ายทั้งหมดเปรียบเสมือนสวรรค์ของคนรักงาน DIY”
ความพิเศษในการออกแบบภายนอก-ภายใน
Maverick เป็นโมเดลที่ผลิตบนแพล็ตฟอร์มรหัส C2 ซึ่งเป็นโครงสร้างตัวถังแบบชิ้นเดียว Unibody รองรับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า/ขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD เหมือนกับ Bronco Sport, Escape และ Lincoln Corsair โดยทีมงาน Ford ระบุว่ามีการใช้ชิ้นส่วน 60 เปอร์เซ็นต์ร่วมกับ Bronco Sport รวมถึงแนวทางการออกแบบ แต่จะเพิ่มลูกเล่นบริเวณชุดไฟหน้ากับแผงกระจังหน้าให้ทันสมัยกว่ารถกระบะในไลน์อัพปัจจุบัน
ภายในห้องโดยสารบริเวณคอนโซลกลางจะมีการติดตั้งหน้าจอทัชสกรีนแบบใหม่ขนาด 8 นิ้ว โดยเตรียมจะเป็นมาตรฐานในรถยนต์ Ford รุ่นอื่นๆ ที่จะเปิดตัวในอนาคต พร้อมทั้งเพิ่มช่องเก็บของด้านล่างเบาะนั่งแถวหลังที่มีความลึกพอจะเก็บลูกบาสเกตบอล และช่องเก็บขวดน้ำขนาด 1 ลิตรด้านข้างประตูทุกฝั่ง
All-New Maverick ในประเทศสหรัฐฯ จะแบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อย XL, XLT และ Lariat เครื่องยนต์ไฮบริดเป็นมาตรฐานพร้อมตัวเลือกขุมกำลัง EcoBoost 2.0 ลิตร สามารถติดตั้ง FX4 แพ็คเกจออฟโรดเพิ่มเติมใน 2 รุ่นบน โดยช่วงแรกจะมีรุ่นพิเศษ First Edition ที่มีการตบแต่งพิเศษให้ชาวอเมริกันจับจองทางออนไลน์เป็นเทรนด์ใหม่ของการเปิดตัวรถในสหรัฐฯ
All-New Maverick–กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
Ford คาดหวังว่าลูกค้าของ Maverick จะเป็นผู้ซื้อรถซีดานรุ่นเริ่มต้น รวมทั้งกลุ่มคนที่กำลังตัดสินใจซื้อรถกระบะขนาดกลางหรือรถอเนกประสงค์สไตล์ครอสส์โอเวอร์ โดยต้องการเจาะกลุ่ม Millennials คนหนุ่มสาววัย 20 กว่าๆ ตามข้อมูลของนักวิเคราะห์การตลาด
ตำแหน่งของ Ford Maverick ในตลาดสหรัฐฯ จะมี Santa Cruz รถกระบะคอมแพ็กต์ของ Hyundai ที่เพิ่งเปิดตัวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเป็นคู่แข่งโดยตรง ทำให้ต้องติดตามการแข่งขันเพื่อแย่งชิงยอดขายในช่วงซัมเมอร์นี้ว่าจะดุเดือดขนาดไหน
Cox Automotive บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจรถยนต์ชั้นนำของประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นของผู้บริโภคจำนวน 270 คน เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยผู้ตอบแบบสอบสำรวจ 51 เปอร์เซ็นต์ มีความพึงพอใจกับ Maverick และ Santa Cruz ได้รับความสนใจ 42 เปอร์เซ็นต์
ผลสำรวจของ Cox Automotive ระบุว่าเหตุผลหลัก 3 ข้อในการพิจารณาตัดสินใจซื้อรถกระบะของกลุ่มตัวอย่างนี้คือ–พื้นที่บรรทุกของกระบะท้าย, อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน และราคา โดยบางส่วนยังเป็นลูกค้าเก่าของ Ford อยู่แล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีรถซีดานทั้ง Fiesta, Focus, Fusion หรือ Taurus ให้เลือกซื้อมาใช้งานแทนคันเก่า
“มันอาจจะถือเป็น 1 ในกลยุทธ์หลักของการพัฒนา Maverick ขึ้นมา—ความมุ่งมั่นที่จะรักษาฐานลูกค้ากลุ่มนี้เอาไว้” Zack Nakos ผู้จัดการแผนการตลาดของ Maverick ให้ความเห็นกับ Automotive News “ลูกค้าหลายคนกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องตัดสินใจขายรถคันเก่า และกำลังจะกลับเข้าสู่โชว์รูม กลุ่มคนที่ไม่อยากขับรถกระบะยังคงมีอยู่ แต่เราเชื่อว่าจะมีลูกค้าอีกส่วนหนึ่งที่จะพูดขึ้นว่า ‘โอเคนะ ราคาสมเหตุสมผล, อัตราประหยัดน้ำมันน่าพอใจ, มีพื้นที่บรรทุกของได้เยอะ… ผมไม่เคยรู้ว่าตัวเองต้องการรถกระบะมาก่อน แต่คันนี้ถูกใจผมจริงๆ’ เรามั่นใจว่าจะต้องมีเจ้าของรถบางคนพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงสู่รถยนต์สไตล์อื่น”
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: Automotive News
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.