รามสูรขว้างขวาน ที่เขาขาด-ผาแดง เส้นทางป่าธรรมชาติแห่งเมืองน้ำโสม จ.อุดรธานี
หลังจากพายุรามสูรเคลื่อนศูนย์กลางจากฟิลิปปินส์สู่เกาะไหหลำ ทำให้พื้นที่ภาคอีสานของไทยบางส่วนได้รับผลกระทบจากอิทธิพลลมมรสุมที่พาดพัดผ่าน ทำให้มีฝนตกต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน ซึ่งก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของขาลุยทั้งหลายที่หลังจากเก็บงำจำศีลมาหลายเดือน ก็เข้าสู่เทศกาลออกทริป พบปะสังสรรค์ สรวลเส เฮฮาตามประสาแบบฉบับของชาวขาลุยล้อโต
ผมได้รับคำเชิญจากขาลุยกระทิงดงออฟโรดสายน้ำโสมทางโทรศัพท์ในเช้าตรู่วันเสาร์ “อ้าว…อาจารย์ไม่มาลุยกับเขาเหรอ นี่ทีมขาลุยจากสกลนครเขามาเยือนทีมน้ำโสมวันนี้” ผมยังงัวเงียครึ่งหลับครึ่งตื่น เสียงปลายสายยังพูดต่อเนื่องว่า “มาเด้อ!…วันนี้เขาจะขึ้นเขาขาดผาแดงกัน นายกฯแอ๊ดชวนคณะไว้แล้ว” ด้วยความกระสันในการออกทริป หลังจากห่างหายไปนาน
ผมรับปากสั้นๆ “คร๊าบบ…เดี๋ยวผมไป” รีบลุกจากที่นอนแล้วกุลีกุจอเตรียมสัมภาระพร้อมออกเดินทาง
ระยะทาง 210 กิโลเมตร จาก อ.สามชัย จ.กาฬสินธุ์ ถึง อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี แม้จะห่างไกลกันหลายหลักกิโลเมตร แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค เมื่อความมันและความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า ผมบึ่งเจ้าแมงหวี่น้อยด้วยความเร็วเท่าที่มันจะทำได้ เพื่อให้ไปถึงน้ำโสมให้เร็วที่สุด เพราะผมทราบจากปลายเสียงโทรศัพท์ของปรีชา ที่โทรปลุกผมตั้งแต่เช้า พอจับใจความได้ว่า นายกแอ๊ด (พรชัย เภาชัย) อดีตนายก อบต.สองสมัย หรือที่ชาวกระทิงดงรู้กันในนาม “แอ๊ด เขาขาด” ได้บอกว่าเส้นทางขึ้นเขาขาดมันยังสดใหม่ บริสุทธิ์ราวกับสาวพรหมจรรย์ เป็นเส้นทางที่ชาวบ้านแถบนั้นเข้าหาเก็บของป่าและหาหน่อไม้ มีก็เพียงรถมอเตอร์ไซค์ซิ่งล้อวิบากเป็นพาหนะ นั่นก็หมายความว่า เส้นทางต้องได้บุกเบิกสำหรับรถยนต์ และหากเดินทางเข้าไปลุยล่าช้า นั่นหมายความว่าเที่ยงคืนนี้เราจะถึงที่พักหรือเปล่า
อนิจจา…สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดมันก็เกิดขึ้น ขณะที่ผมเหยียบคันเร่งเพื่อขึ้นแซงรถอีแเต๋น เจ้าถิ่นแถบ อ.บ้านผือ เสียงเครื่องยนต์ดังอื้อแต่รถไม่เพิ่มความเร็ว ผมรู้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน ผมหักพวงมาลัยเข้าชิดขอบทางด้านซ้ายเท่าที่จะทำได้ ลงจากรถมาก้มดูล้อหลังขวาแบะ เพลาหลังขาด รีบโทรหาเจ้าภาพทางน้ำโสมทันที ให้เสี่ยปรีชานำรถเร็วมารับผมที่บ้านผือ และฝากเจ้าเบี้ยนน้อยไว้ที่ปั๊มน้ำมัน
ทีมงานคนท่องป่า4×4 สกลนคร ได้มาถึงน้ำโสมนานแล้ว โดยการนำของ ดิษฐ์ ประธานชมรมฯ พร้อมด้วย เจี๊ยบ หน่อย อุทัย และน้องใหญ่ลูกชายคนโตที่เอารถลุยมากันคนละคัน ผมจำใจต้องยืมรถจี๊ป เอ็ม 38 ของเสี่ยปรีชาออกลุยในทริปนี้ โดยเจ้าของจี๊ปเลือกเอาเจ้าแมงหวี่คาริเบี้ยนน้อยเป็นตัวลุย
เราพบปะพูดคุยกันเล็กน้อยและออกเดินทางทันที โดยการนำของ แอ๊ด เขาขาด เจ้าภาพในทริปนี้ รวมทั้งสิ้น 8 คัน เข้าสู่ป่าธรรมชาติ ผ่านวัดช่องเขาขาด แวะกราบนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพรให้เดินทางปลอดภัย ไปให้ถึง กลับให้ได้
ครั้นลัดเลาะออกจากวัดมาได้ประมาณ 70 เมตร ก็ได้รับการต้อนรับจากเนินรับแขก เป็นเนินชันดินหนังหมู ที่มีร่องดินที่เกิดจากการไหลของน้ำป่า เล่นเอาเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มป่า เสียงวิทยุดังมาจากทีมนำบอกให้รอก่อน ได้เกิดปัญหาขึ้นแล้ว เมื่อเจ้าขาวเชอโรกี ของเจี๊ยบเอาสีข้างไปถูกับตันไม้ จากการดิ้นขึ้นเนินแล้วล้อหลังปัดลื่นไถล ต้องให้ ดิษฐ์ เจ้าสำนักดิษฐ์เซอร์วิส กลับรถลงมาวินซ์ เพราะลำพังวินซ์ประจำตัวเจ้าขาวไม่สามารถช่วยตัวเองได้
พอผ่านพ้นเนินเราต้องเจอกับร่องน้ำเล็กที่ขวางผ่านเส้นทาง หากลงผิดเหลี่ยมผิดไลน์มีโอกาสลื่นไถลลงบ่อน้ำข้างๆได้ รถเล็กอย่างคาริเบี้ยนไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่นัก เพราะช่วงตัวที่สั้น น้ำหนักเบาและรถแต่ละคันล้วนตกแต่งเสริมเขี้ยวเล็บไว้เพื่อลุยโดยเฉพาะ รถใหญ่อย่างโรดิโอของหน่อย คนท่องป่า ต้องเลี่ยงเปลี่ยนไลน์ออกขวาลงหนองน้ำที่น้ำลึกเพียงครึ่งแข้ง ตามด้วยไมตี้เอ็กซ์น้องใหญ่ตัดสินใจเปลี่ยนไลน์ตาม แต่หารู้ไม่ว่าทางลงหนองค่อนข้างชัน ทำให้หัวเจ้าไมตี้จุ่มลงน้ำอย่างแรง เครื่องดับสตาร์ทไม่ติด ตูดลอยเย้ยฟ้าหน้าซบโคลน ทีมงานต้องวินซ์ถอยหลังกลับ เมื่อเปิดฝากระโปรงปรากฏว่า พัดลมหน้าห้องเครื่องกระแทกกับน้ำแตกไปแต่ยังพอมีเหลืออีกสองใบช่วยระบายความร้อนได้ แก้ไขเครื่องยนต์ให้สตาร์ทติดแล้วลุยต่อ แต่อีกฝั่งของหนองน้ำยังได้ยินเสียงเครื่องยนต์บรื๊นๆ ปั่นโคลนและน้ำสาดกระเซ็น อีซูซุโรดิโอของหน่อยแม้จะสวมเกือกตะขาบขนาด 35 แต่ก็ยังไม่สามารถลุยโคลนผ่านไปได้ ต้องลุยน้ำปลดวินซ์ไปเกาะเกี่ยวเสาหลักเพื่อดึงตัวขึ้นจากบ่อโคลน
เส้นทางธรรมชาติที่ดินชุ่มฝน หลังจากมณีเมขลาล่อแก้วทำเอารามสูรกริ้วโกรธพัดผ่านไป เราลุยมาถึงเนินป่าไผ่ เป็นทางชันลาดเอียงขวา ช่องทางแคบโดนขนาบด้วยกอไผ่ รถใหญ่ต้องแลกด้วยกระจกส่องหลังและสีข้าง ดินร่วนซุยที่อุดมไปด้วยฮิวมัสที่เกิดจากการย่อยสลายของอินทรียวัตถุ เราเลี่ยงเส้นทางลุยบ่อโคลนที่เป็นทราย เลือกเอาเส้นทางขึ้นเนินชันแทน นายกแอ๊ดผู้นำทริปประเดิมขึ้นก่อน เทคแรกไม่ผ่านต้องเข้าเกียร์ถอยลงมาตั้งหลัก เหยียบคันเร่งรอรอบ เมื่อได้ที่ก็พุ่งทะยานขึ้นเนิน แต่ด้วยการปั่นล้อหลังที่เร็วและล้อหน้าหักมุมเลี้ยวทำให้รถลื่นไถลลงด้านขวา โชคดีที่มีต้นไม้ใหญ่เป็นกำบังกั้นไม่ให้ลื่นไถลลงไปไกลนัก เจ้าคาริเบี้ยนน้อยคันเก่งยิ่งดิ้นยิ่งไถลท้ายตุปัดตุเป๋ เสียงทีมงานร้องดังลั่น บอกหยุดดิ้นเพราะกลัวพลาดไถลลงเขาอาจพลิกคว่ำได้ วินซ์ไม่มีแต่พลังคนยังมี ความสามัคคีคือ พลัง จำต้องใช้เชือกลากดึงต๋งท้ายรถเอาไว้เพื่อให้รถเดินหน้าไปตามทางที่ต้องการ เมื่อพบว่าจุดนี้ยากคันอื่นก็เตรียมวินซ์และต๋งท้ายกัน
พระอาทิตย์ลาลับเหลี่ยมเขา รัตติกาลเริ่มเข้ามาเยือน เราเพิ่งถึงครึ่งทาง เมื่อความมืดมาเยือน ความหิวก็มาถามไถ่ เสียงท้องร้องจ๊อกๆ แต่เสียงเจ้าภาพยังปลอบใจว่า เราข้ามห้วยข้างหน้าไปทางก็สบายแล้ว ทางเรียบยาวไปถึงผาแดงเลย ด้วยความสงสัยผมถามกลับไปว่า รู้ได้ยังไงไหนบอกไม่เคยมา ได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า พรานป่าที่หากินแถวนี้บอก ผมได้แต่อึ้ง ??? เราวางแผนจะไปพักค้างคืนที่หน้าผาแดง แต่เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย เราต้องเดาเส้นทางไปตามคำบอกเล่าของพรานป่า แต่ด้วยประสบการณ์ของขาลุยแต่ละคน เราต่างเชื่อมั่นในกันและกัน จึงตกลงเดินทางต่อ ใครหิวก็หาน้ำหรือขนมประทังความหิวไปก่อน
เราผ่านเนินชันแล้วเนินเล่า ทั้งฉุดกระชากลากวินซ์ จนมาถึงห้วยที่กว้างประมาณ 10 เมตร ทางลงเป็นโขดหิน ผ่านลาดหินกลางน้ำที่ฝั่งซ้ายเป็นร่องลึก สายน้ำที่ไหลเอื่อย มองเห็นแนวหินทำให้รู้สึกโล่งใจ ขอบคุณพระพิรุณที่ไม่ประทานฟ้าฝนลงมาในวันนี้ ทำให้ระดับน้ำในลำห้วยไม่มากนัก ไม่อย่างนั้นคงนอนกันอยู่ที่ฝั่งห้วยนี่เอง
ขาลุยทีมนำลงเดินสำรวจ น้ำไม่ลึกแต่เป็นหินลาดลื่น และทางขึ้นเป็นเนินชันดินป่าไผ่ นายกแอ๊ดลุยก่อนไม่เป็นปัญหาสำหรับเจ้าแมงหวี่ลิมิเต็ดร้อยจากการโมดิฟายด้วยตัวเจ้าของเอง ตามด้วยเชอโรกี และคันอื่นๆ ตบท้ายด้วยจี๊ป เอ็ม38 ที่ยืมเขามาลุย เราข้ามห้วยได้ไม่ยาก ใช้เวลาเพียงเล็กน้อย เดินทางต่อตามทางลาด เรียบ ผ่านสุมทุมพุ่มไม้ป่าไผ่ได้สักประมาณ 1 กิโลเมตร ก็ถึงไร่มันสำปะหลัง ดูนาฬิกาสองทุ่มเศษๆ มองเห็นแสงตะเกียงวับแวมอยู่ในกระท่อม ทีมนำจอดถามทางขึ้นผาแดง เสียงวิทยุบอกมาทำให้ชื่นใจว่า ปลายทางอยู่ข้างหน้าอีกไม่ถึงสองกิโลเมตรและเส้นทางสะดวกเพราะเป็นทางเที่ยวหาเก็บเห็ดของชาวบ้าน
เรามาถึงจุดหมายผาแดง ณ เวลาสามทุ่มกว่าๆ จัดแจงหาที่จอดรถตามความเหมาะสมต่อไฟจากอินเวอร์เตอร์ให้มีไฟส่องสว่างเพื่อพักแรมกันที่นี่ ในขณะที่กำลังกางฟรายชีส เตรียมเต็นท์นอนยังไม่เสร็จดี สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาเล่นเอาหม้อต้มไก่ใส่ส้มป่อยเจิ่งไปด้วยน้ำ เรารับประทานอาหารท่ามกลางสายฝน ด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากข้าวมื้อเย็นกับต้มไก่สูตรสมุนไพรฝีมือเสี่ยปรีชากุ๊กหัวป่า ที่เราซดน้ำกันจนแห้งเหือด เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนทั้งความอ่อนเพลียและอ่อนแรง จากการเดินทางเราจึงแยกย้ายกันเข้านอน สายฝนยังคงเทกระหน่ำไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เสียงไก่ป่าขันแสงแห่งรุ่งอรุณฉาบทาขอบฟ้าทางทิศตะวันออก เราตื่นมาสูดอากาศบนยอดเขาที่ปกคลุมด้วยริ้วหมอกบางๆ จากละอองไอฝนที่โปรยปรายทั้งคืน หลังจากนอนพักขาลุยเริ่มมีเรี่ยวแรงและพละกำลังเดินออกสำรวจธรรมชาติบนยอดเขา ชื่นชมความงามของทิวทัศน์เมืองน้ำโสมและหมู่แมกไม้มวลบุบผา ไม้ป่าและหมู่มอส และกล้วยไม้ที่ขึ้นสลับตามร่องหลืบหิน แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าธรรมชาติที่ต้องสงวนรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติและเป็นซุปเปอร์มาเก็ตของชาวบ้านป่า ไว้หาอาหารโดยไม่ต้องจับจ่ายใช้สอยเงินทอง
หลังจากสูดดมดื่มด่ำบรรยากาศบนยอดภูพอสมควร เราเดินทางเมื่อสายลงจากเขาด้วยเส้นทางที่ง่ายออกสู่หมู่บ้านนาหลวงในเขต อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี มุ่งหน้ากลับสู่ต้นทาง แวะร้านปลาเผาริมอ่างเก็บน้ำห้วยเขาขาดรับประทานอาหารเที่ยง แลกเปลี่ยนพูดคุยความประทับใจ ความตื่นเต้น เร้าอารมณ์ตลอดเส้นทาง เป้าหมายคือ สิ่งที่เราตั้งไว้และพยายามฝาฟันไปให้ถึง แต่สิ่งสำคัญของความสำเร็จมันอยู่ที่ระหว่างการเดินทาง อุปสรรคที่ขวางกั้น มิตรภาพ และความเป็นทีมงานทำให้เราไปถึงจุดหมายและกลับอย่างปลอดภัย
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.