เปิดตำนาน 20 ปี เส้นทางบ้านโนนป่าก่อ มุกดาหาร
…กลายเป็นตำนานและประวัติศาสตร์ ที่ยากจะลืมเลือนจริงๆ..สำหรับหมู่บ้านร้างกลางป่าใหญ่ ที่ปิดตัวลงอย่างถาวร เมื่อ 2 ปี ที่ผ่านมา หลังจากที่กลายเป็นข้อพิพาท กับทางราชการมากว่า 20 ปี แต่ทุกอย่างก็สามารถหาข้อสรุปกันได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันยังหลงเหลือร่องรอยการทำมาหากิน และต้นไม้ริมสวนพอให้สะเทือนใจ เมื่อยามพบเจอ …
บ้านโนนป่าก่อ อำเภอคำชะอี จ.มุกดาหาร
20 กว่าปี ผ่านไป เรื่องราวค่อยๆ จางหาย กับวิถีชีวิตคนพื้นถิ่น ที่ต่อสู้กับ พรบ.แห่งป่าเขาลำเนาไพรและสัตว์สรรพสิ่ง ทุกอย่างสร้างความเข้าใจและใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างลงตัว…วันนี้ ร่องรอยบางส่วนที่ยังคงว่างเปล่า บนผืนดินทำกินที่ยุติบทบาทลง เกิดแนวความคิดในการเสริม เพิ่ม ลมหายใจให้ผืนป่าแห่งนี้ “ขุนแขกแห่งเมืองน้ำดำ” วัชรศิลป์ ไกรษร รองประธานชมรมกาฬสินธุ์ออฟโรด รับหน้าที่คอยประสานงานกับกองทัพภาค 2 ซึ่งได้มอบหมายให้ ผู้พันตุ๊กตา ของน้องๆ พันเอกวรรณาชัย แววศรี ฝ่ายเสนาธิการ ประจำผู้บังคับบัญชา กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 2 ส่วนแยกที่1 ลงมาคอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้ชาวออฟโรดเราเป็นอย่างดี งานนี้ท่านเตรียมกล้าไม้ กว่า 3,000 ต้น คอยต้อนรับพี่น้องออฟโรด อยู่บนหมู่บ้านร้างโนนป่าก่อ บนเขา ซึ่งเหล่าพี่น้องทหารและชาวบ้านต้องขออาศัย รถขับเคลื่อน 4 ล้อ ในการลำเลียงอุปกรณ์และกำลังพลในการปลูกป่าบนนั้น ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นทริปปลูกป่าง่ายๆ ธรรมดา เอาเข้าจริงๆ..แหม สนุก ดุเดือด อีกทริปหนึ่งในภาคอีสานตอนนี้เลยครับ
จากที่ทำการหน่วยย่อย เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูสีฐาน ต.บ้านเหล่า อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร เส้นทางไม่ปกติเลยครับ ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน ฝนปลายฤดูกระหน่ำเต็มอิ่มเลย แม่น้ำ ร่องลึก ร่องโคลน ดินเหนียวอุ้มน้ำ กำลังรออยู่เราอยู่อย่างใจเย็น…รอให้ออฟโรด คำรามเสียงเพื่อสลัดโคลนออกจากล้อโตๆ
ทริปนี้เรารวมเพื่อนจากชมรมต่างๆ ได้กว่า 30 คัน โอ้วววววว..!! จะไหวมั้ยเนี้ย เพราะจากที่พวกเรามาสำรวจเส้นทางนั้น ต้องวินซ์ทุกคัน แค่จุดเดียวนะ…ห้วยนกเต็น งานนี้มีถอยแน่นอน เพราะดูจากกลุ่มเมฆบนฟ้า “จะไปกันหมดมั้ยครับพี่น้อง” ช่างดิส เซอร์วิส หนึ่งในทีมสำรวจ ตะโกนขึ้นดังๆ แต่ไร้เสียงตอบกลับ เอาเป็นว่า ชมรมกาฬสินธุ์ออฟโรด ชมรมคนท่องป่า 4x4 สกลนคร ชมรมซูซูกิ 4×4 ร้อยเอ็ด กลุ่มฟูตม กลุ่ม Club JZ สกลนคร และกลุ่มสามซ่าคาริเบี้ยนสามชัย คือ เพื่อนๆ ออฟโรดที่ไม่เคยทิ้งกัน ในยามสนุกสนานแบบนี้ 555!!!
“ปลายฝนเช่นนี้ ความเขียวขจีของท้องทุ่ง นาข้าวระหว่างทางชวนให้เคลิบเคลิ้ม แสงแดดยามเช้าลอดผ่านสายหมอกและทิวเขา เกิดเป็นภาพที่ได้อารมณ์ดีครับ ธรรมชาติอยู่เหนือทุกสิ่งจริงๆ ในใจผมคิด ทำอย่างไรน้อ ..คนจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างลงตัวซะที เพราะรู้สึกว่าเราจะเบียดเบียนเขามากขึ้นทุกวันและไม่มีทีท่าจะหยุดด้วยสิ”
09.00 น. เป็นเวลาอันเป็นมงคล ทุกกลุ่ม ทุกชมรมรวมตัวกันที่ หน่วยย่อยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน พันเอกวรรณชัย แววศรี ได้ประชุมทำความเข้าใจกับกลุ่มออฟโรด ในการขับขี่ในเส้นทางป่าที่กำลังฟื้นตัว และโครงการ กิจกรรมของพวกเราในวันนี้ จากนั้นเตรียมพร้อมเดินทาง…
ขบวนแรกเริ่มลัดเลาะตามเส้นทาง แม้ช่วงแรกๆ จะไม่ค่อยยากมากนัก แต่ด้วยฤทธิ์ของเม็ดฝนเมื่อคืน เส้นทางที่เคยง่ายๆ กลับต้องงัดเทคนิคขับขี่ออฟโรดมาใช้กันทีเดียว บ่อปลัก ร่องโคลน และทางแคบบังคับด้วยต้นไม้ เริ่มทำหน้าที่ของมัน ต้องค่อยเป็นค่อยไปครับ ความท้าทายด่านแรกที่ผมไม่อยากบอกใครเลยในทริปนี้คือ “ห้วยนกเต็น” แม่น้ำสามแพร่ง ที่มารวมตัวกัน เมื่อก่อนนั้นมีสะพานข้ามครับ แต่ตอนนี้ว่างเปล่า…งานเข้า ประธานภาคฯ ชัยวัต ศรีบานแจ่ม ที่ต้องงัดเอา PTO ที่สลิงเหลือแค่ 8 เมตร ดึงก้นเจ้าม้าคะนองของ สารวัตร สุรชัย งามดี เมืองร้อยเอ็ด ที่หลงเอาหัวจุ่มลงในแม่น้ำที่ชัน 80 องศา ลึก 3 เมตร กว้างเกือบ 5 เมตร จนสำลักน้ำหายใจไม่ออก เกิดอาการรวนมาทันที ต้องถอยกลับมาตั้งหลักกันอีกครั้ง และวางแผนกันใหม่ เพราะทั้งขบวน 30 คัน มีวินซ์ช่วยตนเองแค่ 12 คัน คันที่มีวินซ์เราให้ดึงช่วยคันอื่นแต่ไม่เกิน 3 คัน เพราะต้องถนอมอุปกรณ์กันหน่อย เพราะระยะทางเหลืออีกโขเลยครับ และไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หลังจากขบวนแรกผ่านไป 2 กลุ่ม เริ่มเกิดปัญหาในจุดแรก เพราะกลุ่มเมฆฝนที่คลึ้มๆ เมื่อสักครู่ เริ่มโกรธ สาดเม็ดฝนลงมาอย่างหนัก จากระดับน้ำที่ลำห้วยแค่เมตรเดียว เพิ่มระดับขึ้นไปเกือบเต็มตลิ่ง ในระยะไม่ถึงชั่วโมง ทำให้กลุ่มหลังต้องหยุดรอกันนาน ก่อนตัดสินใจถอยกลับเกือบครึ่งขบวน เพราะหมดเส้นทางที่จะเดินต่อ นอกจากลำห้วยนี้ครับ
จากห้วยนกเต็น รถที่ข้ามผ่านไปได้เริ่มใช้กำลังเครื่องปั่น หนีเนินชันดินเหนียวหนังหมู ยาวกว่า 50 เมตร ก่อนขับลัดเลาะไปตามเส้นทางเดินเท้าเก่าๆ ที่ไม่หลงเหลือสภาพเส้นทางเข้าหมู่บ้านอีกต่อไป จน ครูมนตรี จากสามซ่าคาริเบี้ยนสามชัย ต้องตาต้องใจกับมุมศิลปะมุมหนึ่ง ที่ต้องพาเจ้าคาริเบี้ยนมาวาดลวดลาย ส่ายล้อ โชว์วินซ์ ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำอย่างหนัก อีกมุมเรามองเห็นภัตตาคาร ในป่าหลายอย่างครับ เป็นอาหารของชาวบ้านเป็นอย่างดี ทั้งเห็ดป่า งู หน่อไม้ และแมลงต่างๆ ได้บรรยากาศออฟโรดจริงๆ
บางช่วงของเส้นทางก่อนถึงหมู่บ้านร้าง เส้นทางขาดหายไปเฉยๆ จนเราต้องมุดป่าหาไลน์ เดินเครื่องปั่นล้อโตๆ กับร่องน้ำวัดใจกันหลายเทค ทีเดียว…จนถึงบริเวณที่ปลูกป่า ณ หมู่บ้านร้าง ไร้ผู้คน สายฝนอันฉ่ำ ชุ่ม เม็ดเบ่อเร่อ ก็ ก็ถาโถม กระหน่ำใส่พันธุ์กล้าไม้อย่างปราณี แต่ที่วิ่งหนี เห็นจะเป็นคนปลูก ..555 กว่าเราจะเสร็จภารกิจ ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสามโมง แต่เรายังเหลือเส้นทางอีกครึ่งทาง ที่ต้องออกจากที่ปลูกป่า สู่หมู่บ้านห้วยแดง อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นทางออกสุดเส้นทางออฟโรดของทริปนี้ แน่นอนว่าเราไม่รู้สภาพเส้นทางต่อจากนี้มากนัก ในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา คร่าวว่า มีแม่น้ำกว้างๆ ดักรออยู่ ทั้งคลองเล็กๆ ที่มีแค่ท่อนซุง วางให้คนข้ามได้ ระหว่างเส้นทางครึ่งที่เหลือ ธรรมชาติเริ่มคืนตัว ฟื้นสภาพแคระแกน เริ่มเติบโตและรกชัฏ มีบางจุดที่ชาวบ้านยังคงจับจองพื้นดินปลูกไม้ยางพารา เสริมรายได้ครอบครัว สภาพเส้นทางแค่ทางเดินเท้าเมื่อหลายปีก่อนเริ่มหายไป การเบี่ยงเส้นทางให้ขนย้ายพืชพันธุ์ กลายเป็นเส้นทางลูกรังธรรมดาไป.
เสน่ห์ของการเดินทางทริปนี้ อยู่ที่การได้ใช้หัวจิตหัวใจของคนออฟโรด ช่วยกันแก่ปัญหาระหว่างทาง ความสะดวกสบายอย่าไปคิดถึงมันเลยครับ 4 ชั่วโมงเราอยู่ท่ามกลางสายฝนหนักตลอด ขนาดกินข้าวยังต้องซดน้ำแกงที่เจือจางไปด้วยน้ำฝนเลยครับ แต่ทุกคนก็มีรอยยิ้มตลอดเวลา และต่างคนต่างพูดว่า ได้บรรยากาศออฟโรดสุดๆ อีกทริปหนึ่งครับ
การเดินทางขึ้นสู่เส้นทางสายตำนาน ของจังหวัดมุกดาหาร เส้นนี้ ไม่ยากครับ เพียงเราติดต่อเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน และบอกจุดหมายเป้าประสงค์การเดินทางก็พอแล้ว เพราะท่านเข้าใจดีเรื่องการท่องเที่ยวผจญภัยของออฟโรด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราขับขี่รถเข้าไปในเส้นทางป่าเดิมๆ ก็เป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่คอยระวังรักษาให้อีกแรง พวกที่ยังคงตัดไม้ทำลายป่า เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์แรงๆ ก็ชะงัก ไปเหมือนกัน ที่สำคัญเราต้องไม่แอบเก็บเอาพืชพันธุ์ของป่าที่จำเป็นต่อระบบนิเวศน์ หรือยิงสัตว์ป่าใดๆ …เราไม่สนับสนุนนักขับออฟโรดบ้าบิ่น ขับขี่อย่างคึกคะนองประหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่ใน 4wd อวดเก่งเกินขนาด สุดท้ายก็อยู่ในวงการได้ไม่นานต้องเลิกราไปอย่างน่าเสียดาย
การเดินทางสู่ตำนาน 20 ปี เส้นทางบ้านโนนป่าก่อ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน จ.มุกดาหาร ในช่วงฤดูฝนเป็นมนต์เสน่ห์ที่อยากให้สัมผัสจริงๆ ครับ ส่วนฤดูอื่นก็คงจะเหมือนสถานที่ทั่วไปที่จะขับขี่อย่างไรก็ได้ แต่เมื่อใดที่ฝนเริ่มทำหน้าที่ของมัน..เมื่อนั้น..089-714-6821 ติดต่อ ขุนเขายะเยือก กาฬสินธุ์ออฟโรด ได้เลย เตรียมโซดา กับน้ำแข็ง มาด้วยนะจ๊ะ…!!!
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน
ประวัติ และความเป็นมา :
พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐานเคยผ่านการสัมปทานเพื่อการทำไม้มาก่อน ต่อมาราษฎรในท้องถิ่นโดยสภาตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร มองเห็นคุณค่าของป่าไม้ที่จะเอื้อประโยชน์ต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่นที่อยู่อาศัยใกล้ชิดป่าให้ดีขึ้น ประกอบกับพื้นที่ป่าดงภูสีฐานมีสภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาติดต่อกัน บนยอดเขาเป็นที่ราบกว้างสภาพป่าทั่วไปเป็นป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่าผสมผลัดใบ และทุ่งหญ้า มีแหล่งน้ำและแหล่งอาหารของสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่หลายชนิด และเป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารของลำน้ำหลายสายในจังหวัดมุกดาหาร จึงร่วมกันเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกสัมปทานป่าไม้บริเวณป่าดงภูสีฐาน เพื่อรักษาพื้นที่ป่าไม้ไว้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร โดยให้ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติหรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พ.ศ. 2529 กรมป่าไม้ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าสำรวจป่าดงภูสีฐานพบว่าสภาพป่าแห่งนี้มีศักยภาพ และเหมาะสมแก่การสงวนรักษาไว้เป็นป่าต้นน้ำและแหล่งที่อยู่ อาศัยของสัตว์ป่ามากกว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยว ต่อมาในปี พ.ศ.2533 ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พื้นที่ป่าดงภูสีฐานเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ หน้า 21 เล่ม 107 ตอนที่ 100 ลงวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.2533 นับเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเพียงแห่งเดียวของทั้งจังหวัดมุกดาหารและจังหวัดกาฬสินธุ์ และเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่เกิดจากความต้องการของราษฎรท้องถิ่นอย่างแท้จริง ต่อมาในปี พ.ศ.2543 ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้ยกเลิกพื้นที่เขตฯ และประกาศขึ้นใหม่ โดยได้ผนวกพื้นที่บางส่วน ในท้องที่ตำบลบ้านค้อ จำนวน 33,291 ไร่ ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 117 ตอนที่ 101 ก. ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2543
ข้อมูลการเดินทาง
เดินทางออกจากจังหวัดมุกดาหาร มุ่งหน้าทางตะวันออก ไปยังถนนวิวิธสุรการ /เส้นทางหลวงหมายเลข 2029 ระยะทาง กว่า 67 กิโลเมตร สังเกตถึงทางแยกอำเภอผึ่งแดด เลี้ยวขวา สู่ตำบลบ้านเหล่าเส้นทางขึ้นและลงเขาสูงบ้าง จากต.บ้านเหล่า อีกประมาณ 31 กิโลเมตร ก็ถึงบ้านแก้งนาง และต่อไปยังเขตรักษาพันธุ์ฯ อีก 3 กิโลเมตร ก็ถึงจุดเริ่มต้น ทริปออฟโรด ครับ สัญญาณโทรศัพท์ทุกคลื่น หมดลงที่จุดนี้ครับ อาหารและเสบียงซื้อจากหมู่บ้านแก้งนางได้เลย