“จีเอ็ม” เร่งเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจในตลาดต่างประเทศ
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส หรือ จีเอ็ม (NYSE: GM) กำลังดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศตามกลยุทธ์ที่วางไว้อย่างครอบคลุมเมื่อปี 2558 เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของบริษัท เพิ่มความคุ้มทุน และจัดการกับตลาดที่ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้มากพอ
วันนี้ จีเอ็มได้ประกาศว่าจะลดการออกแบบ ผลิต และจำหน่ายรถในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และยุติธุรกิจรถยนต์โฮลเดนภายในปี 2564 โดยจะโฟกัสไปที่ธุรกิจรถเฉพาะกิจแทน นอกจากนั้นยังประกาศว่า บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ส ของจีน ได้ลงนามข้อตกลงเบื้องต้นเพื่อซื้อโรงงานผลิตรถยนต์ของจีเอ็มในจังหวัดระยอง และจีเอ็มจะถอนธุรกิจรถยนต์เชฟโรเลตออกจากไทยภายในสิ้นปี 2563
นอกจากนี้ จีเอ็มยังวิเคราะห์อย่างละเอียดเกี่ยวกับการผลิตในอนาคตของโรงงานที่จังหวัดระยอง โดยพบว่าอัตราการใช้ประโยชน์โรงงานและปริมาณการผลิตในระดับต่ำทำให้การผลิตที่โรงงานแห่งนี้ไม่มีความยั่งยืน และเมื่อไม่มีการผลิตในประเทศ เชฟโรเลตก็ไม่สามารถแข่งขันในตลาดรถใหม่ของไทย
สตีฟ คีเฟอร์ รองประธานอาวุโสบริษัทจีเอ็ม และประธานกรรมการบริษัท จีเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า การตัดสินใจเช่นนี้สอดคล้องกับการประกาศเมื่อเดือนมกราคมว่าจีเอ็มจะขายโรงงานผลิตในเมืองทาเลกอน ประเทศอินเดีย ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในเกาหลี รวมถึงลงทุนและยกระดับการดำเนินงานในอเมริกาใต้
จูเลียน บลิสเส็ต รองประธานอาวุโสของจีเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่นส์ กล่าวว่า นอกจากการดำเนินการตามแผนในตลาดหลัก ๆ ในต่างประเทศแล้ว จีเอ็มยังเดินหน้ายกระดับความร่วมมือในตลาดอื่น ๆ เช่น อุซเบกิสถาน ด้วยการถ่ายโอนสินทรัพย์และสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งเพื่อลดต้นทุนในตลาดที่มีการเติบโต
ในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไทย และตลาดส่งออกอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบ ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจีเอ็มจะรับผิดชอบการรับประกันทั้งหมด รวมถึงให้บริการและจัดหาอะไหล่ ตลอดจนจัดการกับการเรียกคืนหรือปัญหาด้านความปลอดภัยต่อไป โดยจะมีการประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่ในส่วนนี้
บริษัทคาดว่าผลจากการเปลี่ยนแปลงในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และไทย จะก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายสุทธิที่เป็นเงินสดราว 300 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินสดและที่ไม่ใช่เงินสดรวม 1.1 พันล้านดอลลาร์ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในไตรมาสแรกและต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสสี่ของปี 2563 โดยค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษสำหรับการปรับกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี กำไรต่อหุ้นปรับลด และกระแสเงินสดอิสระ
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.