This is the Power of Money… เสกทะเลทรายให้กลายเป็นสุดยอดเมืองระดับโลกกับขับรถตะลุยเที่ยวทะเลทราย Arabian Desert ที่ Dubai- Abudhabi
เมืองดูไบ (Dubai) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates or UAE) และแถบอ่าวเปอร์เซีย มีความสำคัญทางเศรษฐกิจโดยเป็นเมืองท่าหลักแห่งหนึ่งของโลก ดูไบไม่เพียงขึ้นชื่อด้านความร่ำรวยอันดับต้นๆ ของโลก ถูกสร้างขึ้นบนผืนทะเลทรายและการถ่มทะเลให้เป็นเมืองทันสมัยล้ำยุค ยังเป็นเมืองที่รวมที่สุดของโลกเอาไว้มากมาย ทั้งตึกสูงระฟ้าระดับโลก แหล่งร้านค้านานาชาติ ห้างสรรพสินค้าแหล่งช้อปปิ้งแบรนด์เนมชั้นนำ แหล่งวัฒนธรรมอาหรับที่น่าสนใจ
ปัจจุบันการเดินทางท่องเที่ยวดูไบก็แสนสะดวกสบาย มีบริการเที่ยวบินตรงไปยังดูไบทุกวันจากสายการบินผู้ให้บริการหลายสายและหลายไฟลท์ ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมง 6 ชั่วโมงเศษๆ เป็นเมืองที่มีความปลอดภัยสูงและค่อนข้างเสรีพอสมควรแม้จะเป็นเมืองที่ผู้คนนับถือศาสนาอิสลามเป็นหลักและเคร่งครัด แต่ก็เป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างศาสนา ไม่มีกฎระเบียบจนอึดอัด เพียงแค่มีกฎหลักๆ ข้อห้ามส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับศาสนาแทบทั้งสิ้น
ดูไบตั้งอยู่ติดกับเขตทะเลทราย จึงทำให้ช่วงหน้าร้อนอุณหภูมิจะสูงถึง 40 องศาเซลเซียส และในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยที่ 19 องศาเซลเซียส ช่วงที่เหมาะแก่การไปเที่ยวดูไบมากที่สุดจะอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-เดือนมีนาคม อากาศไม่ร้อนและท้องฟ้าแจ่มใส
สงกรานต์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสหนีร้อนไปนอนทะเลทรายที่ อาบูดาบี (Abudhabi) และดูไบ (Dubai) ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งหลายๆ คนมักจะถามกันเสมอว่า มีอะไรให้ท่องเที่ยวบ้าง บอกได้คำเดียวว่า เมื่อได้สัมผัสจริงๆ จะรู้สึกทึ่งกับความมหัศจรรย์ในแบบที่หลายๆ คนยังไม่รู้ และที่มันส์…สุดๆ ก็คือ การนั่งรถออฟโรดโต้คลื่นในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งใครที่เดินทางไปจะต้องไปเที่ยวชมกันให้ได้ ไม่อย่างนั้นเหมือนเรามาไม่ถึงดูไบ ซึ่งผมกำลังจะพาท่านผู้อ่านไปสัมผัสพร้อมๆ กันในทริปนี้
สำหรับทะเลทรายที่เราจะเดินทางไปนั่งรถเที่ยวชมนั้น ก็คือ ทะเลทรายอาหรับ (Arabian Desert) เป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับ 4 รองจาก 1. Antarctic Desert 2. Arctic Desert 3. Sahara Desert ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของหลายประเทศในกลุ่มคาบสมุทรอาหรับ เช่น จอร์แดน อิรัก คูเวต กาตาร์ โอมาน เยเมน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 2,300,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศไทยที่มีพื้นที่ประมาณ 500,000 ตารางกิโลเมตร
สำหรับการเดินทางไปตะลุยทะเลทรายอาหรับที่ดูไบนั้น เราตัดความยุ่งยากในเรื่องของการประสานงานต่างๆ กับบริษัทรถยนต์ที่ทำทัวร์ทะเลทราย เนื่องจากทางทัวร์ที่เราใช้บริการ เป็นผู้จัดการประสานงานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ราคาค่าบริการเท่าที่ทราบราคาขึ้นอยู่กับแพ็คเกจที่เลือก มีเริ่มตั้งแต่ 70 AED ( 1AED เท่ากับ 9 บาทไทย) ไปจนถึงเจ้าดังๆ ราคาค่อนข้างแพงในเครือ Emirates Airlines ชื่อว่า “Arabian Adventure” ราคาราว 200-400 dhs ขึ้นไป ซึ่งเขาจะโปรแกรมแบบนี้ว่า “Sundowner”
การเดินทางท่องเที่ยวทะเลทรายนี้ รถจะมารับเราที่โรงแรมหรือจุดนัดหมายตามที่ตกลงกัน และออกเดินทางราวๆ บ่ายสามโมงครึ่งซึ่งอากาศไม่ร้อนมากนัก รถที่ใช้ในการท่องเที่ยวทะเลทรายก็เป็นรถออฟโรดทั้งสิ้น รถยอดนิยมก็คือ Toyota Land Cruiser VX200 เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.6 ลิตร รวมทั้ง Toyota Sequoia V8 ขนาดเครื่องยนต์ 5.7 ลิตร และที่ไม่น้อยหน้าทั้งสองรุ่นข้างต้นก็คือ Nissan Pratron V8 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์เบนซินมากกว่าดีเซล รถคันหนึ่งจำกัดคนราว 6-7 คน บวกคนขับ
ครั้นออกจากเมืองดูไบมาได้ซักพัก สองข้างทางเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา และใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ขบวนรถทั้งหมดก็จะพักขบวนตามจุดพักรถ ที่มีอยู่ค่อนข้างมากริมทาง เพื่อให้สมาชิกได้แวะพักผ่อน จับจ่ายหาซื้อของจำเป็น ส่วนคนขับก็จะนำรถไปปล่อยลมยางเพื่อเพิ่มพื้นผิวในการสัมผัสกับทรายที่ละเอียออ่อนมากยิ่งขึ้น เพราะถ้ายางแข็งไป อาจจะจมทรายได้ หรือในช่วงของการขับไต่เนินเอียงอาจจะพลิกคว่ำได้
Dune Bashing หรือการตะลุยเนินทราย เป็นอะไรที่คนที่นี่ชอบมาก เพราะสนุกและท้าทาย มีหลายแบบให้เลือก ทั้งนั่งรถออฟโรด หรือจะเช่ารถลุยโดยเฉพาะ ก็มีทั้งรถ UTV และ ATV รวมทั้งรถรุ่นต่างๆ หรือจะเป็นรถแบบ Quad Biking ก็ได้เหมือนกัน
ก่อนแดดร่มลมตกและสมาชิกทุกคนพร้อมกันแล้ว ก็ออกเดินทางตามกันเป็นขบวน ถ้าเป็นรถจากบริษัททัวร์เดียวกันจะจับกลุ่มวิ่งไปด้วยกัน จะมีรถนำทาง 1 คันที่รู้เส้นทาง ขับนำด้านหน้า แต่จริงๆ คนขับทุกคนก็รู้จักเส้นทางดีกันดีอยู่แล้ว แต่เนินทรายบางช่วงมีการเปลี่ยนสภาพกันอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากกระแสลมที่พัดแรงตลอดเวลา ไฮไลท์ของการนั่งรถออฟโรดลุยทะเลทรายก็อยู่ที่การขับรถขึ้นเนินลงเนิน ตะแคงข้างไต่เนินทราย รวมทั้งการยกล้อโชว์ช่วงล่างในบางช่วง สร้างความหวาดเสียวคนนั่ง อยู่ที่ฝีมือฝีเท้าคนขับล้วนๆ ที่ต้องมีการฝึกฝนอย่างหนัก ความรู้สึกของคนนั่งก็ไม่ต่างจากการนั่งรถไฟเหาะในสวนสนุก แต่ลุ้นกว่าเพราะมองไม่เห็นว่าเนินทรายข้างหน้าเป็นอย่างไร ฝุ่นทรายจะฟุ้งกระจายบางครั้งม้วนตัวบังรถทั้งคัน สนุกสนานและตื่นเต้นกันไปตามระเบียบ
ผมสังเกตุเทคนิคการขับของเขา ดูแล้วไม่มีอะไรมาก ก่อนเข้าสู่ทะเลทราย เขาจะปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนไปที่ 4H แล้วปรับเกียร์หลักมาอยู่ที่โหมด S หรือ SPORT เพื่อเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การใช้คันเร่งซึ่งเขาจะทำการเร่งส่งอย่างเดียวเมื่อเจอเนินชัน หรือไต่เนินเอียง โดยจะไม่ใช้เบรคเป็นอันขาด ยกเว้นในช่วงขาลงเนินหรือทางตรงๆ เท่านั้น
ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเศษๆ กับการโลดโผนโจนทะยานผจญภัยอยู่บนลูกคลื่นของทะเลทราย จากนั้นคนขับจะพาขึ้นไปจอดที่จุดเนินสูงๆ เพื่อให้ทุกคนได้ผ่อนคลายและได้ถ่ายรูปทะเลทรายและพระอาทิตย์ตกสวยๆ กัน แล้วค่อยออกเดินทางต่อแบบสบายๆ ไปยัง AL SHAMSI BEDOUIN VILLAGE หรือแคมป์กลางทะเลทราย เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสบรรยากาศแบบอาราเบียนแท้ๆ หรือ สไตล์เบดูอิน “BEDOUIN STYLE” (เบดูอิน คือ ชาวอาหรับที่ชอบท่องเที่ยวไปในทะเลทราย) ทุกคนจะร่วมประทานอาหารเย็นที่มีทั้ง BBQ Buffet รวมถึงมี ชิชา (Shisha) ให้ทดลองสูบ มี Henna Painting มีให้ถ่ายรูปกับนกเหยี่ยว Falcon มีชา-กาแฟ ขนมแบบอารบิก กับลูกเดท (dates) ให้ได้ลิ้มรส รวมทั้งการแสดงโชว์ 2 ชุด รอบละประมาณ 10-15 นาที การแสดงชุดแรกชื่อ Tambura Dance อันที่สองเป็น Belly Dance หรือ การแสดงโชว์ระบำหน้าท้อง ท่ามกลางอากาศที่เย็ยสบายกลางทะเลทรายหลังอาทิตย์ลาลับขอยฟ้าไปแล้ว
เราใช้เวลาอยู่ที่แคมป์ประมาณ 3 ชั่วโมงหรือ ราวๆ 3 ทุ่มเศษ รถก็จะขับมาส่งที่โรงแรม ถือเป็นการจบทริปตะลุยทะเลทรายอันขึ้นชื่อของดูไบอย่างสมบูรณ์แบบ
สถานที่ท่องเที่ยวในดูไบ และอาบูดาบี
นอกจากการขับรถตะลุย ทะเลทรายอาหรับ (Arabian Desert) ที่น่าตื่นเต้น เร้าใจแล้ว ในเมืองดูไบ และอาบูดาบี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ U.A.E. หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยังมีสถานท่องเที่ยวต่างๆ มากมาย ที่ล่วนแล้วแต่มีความสวยงาม น่าทึ่ง มีอะไรบ้างไปตามไปดูกันครับ
Burj Al Arab ดูไบ โรงแรมระดับ 7 ดาว
โรงแรม Burj Al Arab ดูไบ หรือโรงแรมเรือใบ หนึ่งในสัญลักษณ์ของดูไบ หรูที่สุดในโลก 7 ดาว เป็นโรงแรมที่หรูหราในนครรัฐดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีความสูง 321 เมตร หรือ 1,050 ฟุตและยังสูงเป็นอันดับ 32 ของโลก ตึกบุรจญ์อัลอาหรับ ตั้งอยู่บนเกาะที่ถูกถมขึ้นห่างจากชายฝั่งจูไมราบีช 280 เมตรและเชื่อมต่อด้วยสะพานที่มีลักษณะโค้ง มีโครงสร้างการออกแบบเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเมืองดูไบ และตัวอาคารเลียนแบบมาจากใบของเรือใบ
ตึกเบิร์จคาลิฟา Burj Khalifa
ตึกเบิร์จ ดูไบ (Burj Dubai) เป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2010 ใช้เวลาถึง 6 ปีเลยทีเดียว ออกแบบโดย เอเดรียน สมิธ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากดอกไม้ทะเลทรายในตระกูล Hymenocallis เจ้าของตึกก็คือ นายกรัฐมนตรี หรือเจ้าผู้ครองนครดูไบ Mohammed bin Rashid Al Maktoum ลงทุนกว่า 1,500 ล้านดอลล่าร์ และในปี 2010 ได้เปลี่ยนชื่อจากเบิร์จดูไบเป็นเบิร์จคาลิฟา เพื่อเป็นเกียรติแก่ เคาะลีฟะฮ์ บิน ซายิด บิน สุลฏอน อัลนะฮ์ยาน (Khalifa bin Zayed Al Nahyan) ประธานาธิบดีคนที่สองแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเป็นเจ้าผู้ครองนครอาบูดาบี เนื่องจากพระองค์ได้ช่วยเหลือทางการเงินครั้งใหญ่ให้กับดูไบรวมถึงตึกนี้ด้วย
ตึกเบิร์จคาลิฟามีทั้งหมด 163 ชั้น สูง 828 เมตร มีจุดชมวิวสูงที่สุดในโลก และ มีลิฟต์สูงที่สุดในโลก โดยลิฟต์มีความเร็ว 10 เมตรต่อวินาที จากชั้นล่างถึงจุดชมวิวชั้น 124 ใช้เวลาแค่ 1 นาที ดาดฟ้ากว้างนี้สามารถมองเห็นวิวได้แบบ 360 องศา ไกลกว่า 95 กิโลเมตร
เที่ยวน้ำพุแห่งดูไบ Dubai Fountain
Dubai Fountain หรือ น้ำพุแห่งดูไบ ที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในโลก มีความยาวกว่า 270 เมตร หรือประมาณสนามฟุตบอล 2 สนามรวมกันใช้น้ำจำนวน 83,000 ลิตร พุ่งขึ้นไปบนอากาศสูงเท่ากับตึก 50 ชั้น!! และสามารถมองเห็นจากที่สูงไกลถึง 200 ไมล์อีกด้วย น้ำพุสุดอลังการนี้ตั้งอยู่ในทะเลสาบบุรจญ์คาลิฟา ใจกลางเมืองดูไบ รอบๆ เต็มไปด้วยตึกชื่อดังมากมาย และตึกเหล่านี้ก็เป็นสถานที่ดูโชว์น้ำพุยอดนิยมเลยล่ะค่า โดยเฉพาะหน้าห้างฯ คนจะมาดูเยอะมาก มีคนแอบกระซิบว่า สะพานระหว่างห้างฯ The Dubai Mall และ Souk Al Bahar
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Dubai Mall Aquarium
เที่ยว Dubai Aquarium พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ในห้าง Dubai Mall ที่เป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก และได้รับการบันทึกในกินเนสบุ๊คว่าเป็นตู้กระจกอะคริลิกขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย มีอุโมงค์ให้เดินลอดใต้ท้องกระจก เปรียบเสมือนโรงเรียนขนาดใหญ่ของปลาทะเล ปะการังเทียมขนาดใหญ่ที่เหมือนของจริงมาก สามารถมองเห็นสัตว์น้ำใต้ทะเลกว่า 33,000 ชนิด แบบพาโนรามา
สวนน้ำ Wild Wadi
สวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในดูไบ ตั้งอยู่บนถนน Jumeirah Beach ใกล้ๆ กับโรงแรม Burj Al Arab ถูกออกแบบมาให้เหมือนโอเอซิส จุดเด่นของที่นี่คือสไลเดอร์ที่ยาวและสูงที่สุดในโลก มีชื่อว่า Jumeirah Sceirah ความสูงประมาณ 120 เมตร ไหลดิ่งลงด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และยังมีเครื่องเล่นอื่นๆ ให้มันส์กันกว่า 30 ชนิด กิจกรรมอีกมากมาย และที่น่าสนใจอีกอย่างคือ Wadi Washed เป็นการแสดงแสง เสียง และน้ำ ที่จำลองน้ำท่วมฉับพลัน โดยปล่อยน้ำกว่า 60,000 ตัน ลงมาจากหน้าผา มีทั้งฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ
หมู่เกาะต้นปาล์ม The Palm Islands
สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก ที่นี่เป็นเกาะเทียมกลางทะเลที่สร้างเป็นรูปต้นปาล์ม ขนาดพื้นที่ราว 25 ตารางกิโลเมตร มีแนวของใบปาล์ม 17 แนว และถูกจัดเป็นเมืองสุดหรู มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งร้านอาหารระดับภัตตาคาร สวนน้ำขนาดใหญ่ สปาชั้นเยี่ยมของโลก ห้างสรรพสินค้าที่รวมทุกแบรนด์ระดับโลกไว้ บ้านสไตล์วิลล่าชายทะเล รีสอร์ทและโรงแรมระดับ 5 ดาว มีท่าจอดเรือยอชต์สำหรับผู้พักอาศัยในโครงการนี้ด้วย โดยทั้งหมดนี้ได้เชื่อมต่อกับพื้นดินของดูไบ ผ่านสะพานและรถไฟลอยฟ้ายาวประมาณ 5.4 กิโลเมตร
โรงแรม Atlantis the Palm
โรงแรม 5 ดาว ที่ได้รับรางวัลรีสอร์ทชั้นนำของโลกในปี 2015 ตั้งอยู่บนเกาะ The Palm Islands ในโครงการหมู่เกาะต้นปาล์มค่า ออกแบบโดย บริษัท Wimberly Allison Tong & Goo, Inc. (WATG) ประเทศสหรัฐอเมริกา โรงแรม Atlantis the Palm เป็นตึกขนาดใหญ่สีชมพู มีทั้งหมด 46 ชั้น แบ่งออกเป็นสองฝั่งและเชื่อมเข้าหากันด้วยซุ้มสะพานโค้ง ท่ามกลางชายหาดส่วนตั๊วส่วนตัวค่ะ มีทั้งสวนน้ำ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำใต้ทะเล ศูนย์ดำน้ำ สปา ฟิตเนส ร้านค้าช็อปปิ้งระดับไฮเอนด์ ร้านอาหารสุดหรู สิ่งบันเทิงต่างๆ และ Dolphin Bay โชว์ปลาโลมาที่เราสามารถลงไปว่ายเล่นกับบรรดาปลาโลมาแสนรู้ได้แบบใกล้ชิด
สวนน้ำ Aquaventure
ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสวนน้ำที่อลังการแสนตื่นเต้นที่สุดในโลกและดีที่สุดในดูไบ มีขนาดใหญ่มหึมาบนพื้นที่กว่า 42 เอเคอร์ อยู่ติดกับโรงแรม Atlantis บนเกาะ The Palm Islands เครื่องเล่นมีเต็มไปหมด ทั้งหอคอยแห่งโพไซดอน (The Tower of Poseidon) เป็นสไลด์เดอร์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก จำลองให้รู้สึกเหมือนต่อสู้กับกษัตริย์แห่งท้องทะเลอยู่ A Shark Safari สำรวจใต้น้ำโดยจะต้องใส่หมวกกันน็อคพิเศษเฉพาะ เพื่อชมสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล สามารถเห็นปลาฉลามว่ายไป-มาได้แบบชัดๆ เต็มตาเลยทีเดียว
ดูไบ Mall of the Emirates
สกี แห่งแรกในตะวันออกกลางที่ห้าง Mall of the Emirates ได้ยกสวนหิมะในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาด 3,000 ตารางเมตรมาไว้กลางเมือง จำลองทุกอย่างเหมือนจริงอย่างกับอยู่ในประเทศเขตหนาว ทั้งถ้ำหิมะ ภูเขาหิมะ กิจกรรมก็มีมากมายทั้ง สโนว์บอร์ด, รถเลื่อนหิมะ, กระเช้าสกี, กลิ้งลูกบอลยักษ์, Snow Bullet และ สกี รวมถึงมีการแสดงของเพนกวินและการเดินขบวน ทั้งเพนกวินพันธุ์ gentoo และราชาเพนกวิน ที่เราจะได้เห็นกันแบบใกล้ชิด
ตลาดพื้นเมือง Souk Madinat
ตลาดพื้นเมืองโบราณแต่แฝงไปด้วยความโรแมนติก ตกแต่งสไตล์อาหรับผสมผสานกับวัฒนธรรมของตะวันออกกลางแบบดั้งเดิม เป็นแหล่งช็อปปิ้งที่ผู้คนนิยมมาก เพราะบรรยากาศดี มีกลิ่นของน้ำหอมคละคลุ้ง ล้อมรอบด้วยคลองคดเคี้ยว ร้านค้าก็มีมากมายทั้งแบบรถเข็น แผงลอย และบ้าน มีร้านขายของที่ระลึก เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ ร้านบูติก ร้านอาหารสุดหรูที่มีความหลากหลาย และขึ้นชื่อจากทั่วโลก
มัสยิด Sheikh Zayed เมืองอาบูดาบี
มัสยิดที่สวยที่สุดในโลก แบบสีขาวสะอาดตา และยังมีโคมไฟแชนเดอเลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ถูกออกแบบและก่อสร้างจากช่างที่มีฝีมือทั่วโลกกว่า 3,000 คน และ 38 บริษัทเลยทีเดียว เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 1996 และเสร็จในปี 2007 วัสดุที่ใช้ก็มีทั้งหินอ่อน เซรามิก คริสตัลและทองคำ เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกับวัฒนธรรมของศาสนาอิสลามได้อย่างหลากหลายและลงตัวเป็นที่สุด และยังเป็นสุสานหลวงฝังพระบรมศพของ Sheikh Zayed bin Sultan Al Nahyan อดีตประธานาธิบดีคนแรกแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเป็นผู้สร้างมัสยิดแห่งนี้ไว้ก่อนจะสวรรคต สามารถรองรับผู้มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้สูงถึง 40,000 คน
โรงแรม Emirates Palace เมืองอาบูดาบี
โรงแรม 5 ดาวโดยได้ใช้เนื้อที่ริมชายหาดส่วนตัวประมาณ 1.3 กิโลเมตร การตกแต่งแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอาหรับแบบดั้งเดิม ทำจากทอง หินอ่อน และแก้วโมเสค และยังประดับประดาด้วยโคมไฟระย้าที่ทำจากคริสตัล ออกแบบโดย John Elliot สถาปนิกชาวอังกฤษ ภายนอกล้อมรอบด้วยสวนที่เขียวชอุ่ม ต้นปาล์มเรียงรายอย่างกับมายืนรอต้อนรับพวกเรา น้ำพุสุดหรูหราที่เปิดแทบตลอดเวลา เป็นโรงแรมที่มีเทคโนโลยีทันสมัยใหม่ล่าสุด และสิ่งอำนวยความสะดวกก็มากมาย ทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส บริการสปา สนามเทนนิส ท่าจอดเรือส่วนตัว ร้านอาหารชั่นเยี่ยม ที่นำอาหารจากทุกประเทศ ทุกวัฒนธรรมทั่วโลกมารวมไว้ที่นี่
สวนสนุก Ferrari World เมืองอาบูดาบี
เฟอร์รารี่ เวิลด์ สวนสนุกในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่กว่า 2,152,782 ตารางฟุต หลังคาสีแดงโดดเด่นเป็นสง่า ออกแบบโดยบริษัท Benoy ใช้ทุนการสร้างกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ จุดประสงค์ที่สร้างขึ้นก็เพื่อระลึกถึงผู้ผลิตรถยนต์เฟอร์รารี่ขวัญใจคนทั่วโลก ที่นี่มีเครื่องเล่น และกิจกรรมหลากหลาย เลือกกันได้ตามใจชอบ มีทั้งการชมประวัติของการแข่งขันตั้งแต่แรกเริ่ม และความเป็นมาของโรงงานเฟอร์รารี่, ชมการแข่งขันสุดพิเศษอย่างใกล้ชิดติดขอบสนาม, โรงละครเก่าแก่ของอิตาลี, จำลองการขับรถบนถนน, ขับรถเฟอร์รารี่จำลอง, เล่นเกมโชว์ทดสอบความรู้เกี่ยวกับเฟอร์รารี่, นั่งโดมขนาดยักษ์ขึ้นสูงชมหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของเฟอร์รารี่, โรงเรียนสอนขับรถยนต์สำหรับเด็ก