อาการผิดปกติที่มีน้ำปนกับน้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันเครื่องปนกับน้ำ จากสาเหตุที่ส่วนกลางที่กั้นอยู่ระหว่างระบบของใครของมันเกิดการชำรุดหรือมีปัญหา ทำให้สองสิ่งจากสองส่วนไปมาหาสู่กันได้ ในการใช้งานรถยนต์ปกติโดยทั่วไปน้อยนักที่จะเกิดเหตุการณ์ประเภทนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว การแก้ไขในแนวทางไหนมักอยู่ที่สาเหตุเป็นสำคัญ
เราจะรู้ว่าทั้งสองสิ่งคือ น้ำกับน้ำมันเครื่องเกิดการปนกัน จากการที่เราถ่ายน้ำมันเครื่องออกมาแล้วมันมีลักษณะที่ผิดปกติในส่วนของสีความข้นใส ลักษณะทางกายภาพที่เปลี่ยนไป ซึ่งถ้าเป็นรถยนต์ที่คนใช้มีการตรวจสอบด้วยการชักก้านวัดออกมาตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องอยู่เสมอ ก็มักจะสังเกตเห็นได้เหมือนกัน ถ้ามันเกิดการปนเปื้อนของน้ำในน้ำมันเครื่อง ประสิทธิภาพการหล่อลื่นและลดการสึกหรอก็จะด้อยลงไป เกิดเสียงดังในการทำงานของเครื่องยนต์อย่างแรก ถ้าผู้ที่สังเกตก็คงเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ บางทีความร้อนของเครื่องยนต์ก็อาจจะผิดปกติได้ พวกนี้เป็นอาการข้างเคียงที่แสดงออกมา ทั้งหมดถ้าเครื่องยนต์เกิดการทำงานที่ผิดปกติแล้วหาสาเหตุได้ทันท่วงที บางครั้งความเสียหายอาจจะไม่มากเกินเยียวยา แต่ถ้าไม่ก็คงต้องว่ากันต่อไป
สาเหตุที่น้ำมันเครื่องปนกับน้ำได้ ก็มีอยู่ด้วยกันหลายส่วน ถ้าเครื่องยนต์ที่ใช้มาตามวาระปกติ โดยมากถ้ามีพวกน้ำเจือปนในระดับที่ไม่มากตามสภาพ ก็ไม่ถือว่าปกติ แต่ถ้ามีผสมมากจนเปลี่ยนสีของน้ำมันเครื่องไปอย่างชัดเจน พวกนี้มักเกิดจากการที่ช่องทางเดินของทั้งสองระบบเกิดการกร่อน แตก ซึ่งช่องทางพวกนี้อยู่ด้านในเสื้อสูบ ฝาสูบเป็นส่วนใหญ่ หรือไม่ก็ชุดป้องกันอย่าง ปะเก็น หรือซีลยาง มีการเสียหายทำให้ทั้งสองระบบเกิดการสัมผัสผสมกันได้ 
อยู่ดีๆ ช่องทางเดินน้ำหรือช่องทางน้ำมันหล่อลื่นจะกร่อนแตกได้นั้นมันยาก โดยมากถ้าไม่แจ็คพอตจริงๆ มันก็คงไม่เกิด แต่ถ้าเครื่องยนต์นั้นมีการซ่อมใหญ่ในระดับ TOP OVERHAUL ขึ้นไปจนถึงการ OVERHAUL เต็มรูปแบบ มันก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ซึ่งการเกิดมันก็มีแบบที่แก้ไขได้ อย่างเช่น การประกอบเครื่องยนต์หลังจากซ่อมเสร็จ การขันนอตที่ไม่ได้แรงอัดตามกำหนด จะทั้งนอตมันยืดหรือการป้องกันการไหลขึ้นเกลียวด้วยน้ำยาต่างๆ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ ด้วยการรื้อออกมาประกอบใหม่ แต่ถ้ามันเกิดจากการแตกของช่องทางด้านในเสื้อหรือฝาสูบพวกนี้ คงต้องดูความคุ้มค่าว่าจะยกส่วนนั้นมาเปลี่ยนหรือหาของทดแทนมาใช้งาน มันจะคุ้มค่ากว่า หรือการเปลี่ยนเครื่องยนต์ทั้งบล็อกไปเลย อันไหนจะตรงใจความต้องการมากกว่ากัน
แต่ในบางครั้ง ปัญหาเส้นผมบังภูเขาอย่างการประกอบเครื่องยนต์อย่างชิ้นส่วนฝาสูบกับเสื้อสูบ ซึ่งจะมีปะเก็นรองรับทำหน้าที่กันรั่ว พวกนี้บางครั้งการใช้ปะเก็นไม่ตรงรุ่น อย่างพวกเครื่องที่เป็นรุ่นเดียวกัน แต่แยกย่อยรุ่นเทอร์โบรุ่นฝาเหล็ก ฝาอะลูมิเนียม ซึ่งพวกนี้บางครั้งออกแบบช่องทางเดินน้ำหล่อเย็นและช่องทางส่งน้ำมันมาในตำแหน่งที่แตกต่างกัน บางครั้งการใช้ปะเก็นที่ไม่ตรง ก็ทำให้เกิดการไหลรวมตัวผสมกันได้ ตรงนี้แหละที่จะทำให้เกิดการเสียหายได้ ถ้าไม่มีการเช็กหลังจากประกอบเสร็จแล้วไม่เติมน้ำในระบบหล่อเย็นเช็กการรั่วเสียก่อน ถ้ารู้ตัวก่อนก็แก้ไขได้ แต่ถ้าเกิดการกร่อนของพวกเสื้อสูบแล้วเกิดการแตก ตรงนี้จะยากเกินเยียวยา ก็ต้องดูว่าจะเดินไปในแนวทางไหน
บางครั้งสาเหตุอาจมาจากเกิดการรั่วของน้ำมันเครื่อง หรือน้ำหล่อเย็นไปหากัน ถ้าในอ่างน้ำมันเครื่องมีน้ำปนก็คงตามสาเหตุที่ว่ามา แต่ถ้ามีน้ำมันเครื่องปนในระบบหล่อเย็น ตรงนี้ต้องไปไล่ดูให้ดี สาเหตุไม่หนีกัน บางทีการเกิดการรั่วที่ปั๊มน้ำก็มีความเป็นไปได้ พวกปะเก็น โอริงยางกันรั่ว หรือตัวปั๊มน้ำเองเกิดการรั่วก็เป็นไปได้ โดยมากถ้าน้ำรั่วไปปนน้ำมันเครื่อง มักจะมาจากน้ำหล่อเย็น สังเกตเห็นน้ำหล่อเย็นหายก็ลองตรวจสอบดู แต่ถ้าน้ำมันเครื่องปนเข้าหาน้ำ การหาสาเหตุแก้ไขก็ต้องไปตามระบบ แต่อย่างที่บอกเกือบทุกสาเหตุถ้ารู้ตัวก่อนจากอาการผิดปกติ แล้วแก้ไขได้ทัน ตรงนี้ยังพอคุยกันได้ แต่ถ้าปล่อยผ่านใช้ไปจนอาการหนัก งานนี้งานใหญ่ต้องว่าไปถึงการหาเครื่องยนต์ทดแทนมาวางซ่อมกันขนานใหญ่
ทางที่ดีควรมีการสังเกตการทำงานเสียงของเครื่องยนต์ เกจ์วัด การตอบสนองของเครื่องยนต์ว่า มีการแสดงออกที่ผิดปกติหรือไม่ การดูแลอุปกรณ์ในห้องเครื่องยนต์ก่อนการใช้งานแต่ละวันก็ยังมีความจำเป็นไม่น้อย เพราะไม่เพียงอาการผิดปกติหนักๆ อย่างแตกในนี้เท่านั้น ส่วนควบอื่นๆ ก็มีความหมาย ถ้าขาดการดูแล ความเสียหายย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ…..
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.