ดูเหมือนจะหมดยุคของรถซีดานระดับเรือธงไปแล้ว เมื่อเปิดตัว 2024 Renault Rafale รถเอสยูวีสัญชาติฝรั่งเศส ที่มาพร้อมกับขุมพลังไฮบริดและแบบเสียบปลั๊ก การออกแบบภายนอก ได้รับแรงบันดาลใจจากโลกแห่งการบิน เห็นได้จากชื่อที่ยืมมาจากเครื่องบินเรซซิ่งในช่วงปี 1930 รวบรวมภาษาการออกแบบ และเทคโนโลยีล่าสุด
แม้ว่า 2024 Renault Rafale จะแชร์พื้นฐานสถาปัตยกรรมโมดูลาร์ CMF-CD กับคู่หูต่างรุ่นอย่าง Austral และ Espace โดยรถรุ่นนี้อยู่ในกลุ่ม D-SUV (ขนาดกลาง) โดยมีความยาว 4.71 ม. (185.4 นิ้ว), กว้าง 1.86 ม. (73.2 นิ้ว) และสูง 1.61 ม. (63.4 นิ้ว) โดยมีระยะฐานล้อ 2.74 ม. (107.9 นิ้ว) ทำให้สั้นกว่า Espace แบบ 7 ที่นั่ง เพียง 12 มม. (0.5 นิ้ว) ซึ่งมีระยะฐานล้อเท่ากัน
Rafale นับเป็นรถยนต์สายการผลิตคันแรกของ Renault ที่รวบรวมภาษาการออกแบบใหม่ ซึ่งดูแลโดย Gilles Vidal อดีตหัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Peugeot โดยส่วนหน้าของรถมาพร้อมกับไฟส่องสว่างกลางวัน LED DRLs รูปลูกศร และไฟหน้า LED สไตล์ Peugeot กระจังหน้าอันโฉบเฉี่ยวผสมผสานรูปแบบที่ได้รับการปรับปรุงตามหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงสัญลักษณ์รูปเพชรของแบรนด์ สามารถควบคุมการไหลเวียนของอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ และเน้นการระบายความร้อนที่ช่องรับลมด้านล่างของกันชน
นอกจากนี้ ด้านข้างของรถมีเส้นสายของบังโคลด้วยที่กระชับขึ้น มีการใช้สีดำบนเส้นสายที่เฉียบคมตามส่วนล่างของประตู แนวหลังคามีความลาดเอียงตามสไตล์คูเป้ ซึ่งทำให้มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น โดยกระจกหลังมีความลาดเอียงที่ 17 องศา ซึ่งเป็นการออกแบบที่ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังขจัดความจำเป็นในการใช้ที่ปัดน้ำฝนด้านหลังอีกด้วย
บริเวณบั้นท้าย เราจะพบกับไฟท้าย LED รูปตัววาย นอกจากนี้ยังมีการออกแบบประตูท้ายให้มีเส้นสายเป็นสปอยเลอร์ในตัว ควบคู่ไปกับสปอยเลอร์บนหลังคาที่โดดเด่น และกันชนหลังที่ดูโฉบเฉี่ยว ซึ่งซ่อนท่อไอเสียไว้อย่างแนบเนียน ทำให้มีรูปลักษณ์ที่สะอาดตา และสวยงาม ส่วนล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้ว เสริมภาพลักษณ์โดยรวมให้ดูโดเด่นยิ่งขึ้น ในแง่ของตัวเลือกสีตัวถังมีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีขาว White Pearl, สีน้ำเงิน Alpine Blue, สีแดง Flame Red, สีดำ Diamond Black และสีเทา Gloss Ceramic Grey
ภายในของRafale บริเวณฝั่งคนขับจะมีแดชบอร์ด OpenR ที่ประกอบไปด้วยแผงหน้าจอแสดงผลขนาด 12.3 นิ้ว คู่กับหน้าจอสัมผัสขนาด 12 นิ้วสำหรับอินโฟเทนเมนต์ และจอ Head-up Display ขนาด 9.3 นิ้ว เบาะนั่งแบบสปอร์ตของ Espirit Alpine หุ้มด้วยวัสดุ Alcantara พร้อมการเดินด้ายแบบสามสี และมีสัญลักษณ์ Alpine เรืองแสงที่พนักพิง และยังมีการนำวัสดุลายหินชนวนมาตกแต่งแผงหน้าปัด ส่วนแสงไฟส่องสว่างรอบข้างสามารถปรับให้เข้ากับช่วงเวลาของวันได้โดยอัตโนมัติ
หลังคามาในแบบกระจกแบบพาโนรามิคของ Solarbay แบบใหม่ ซึ่งให้ความสามารถในการทำให้มืด หรือสว่างขึ้น ตามความต้องการของผู้โดยสาร ทางแบรนด์ยังยืนยันว่าแม้จะมีแนวหลังคาที่โค้งมาก แต่ก็ยังมีที่ว่างบนศีรษะมากเพียงพอสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมด้วยพื้นที่ช่วงเข่าที่กว้างขวาง ที่ได้ประโยชน์จากระยะฐานล้อที่ยาว สำหรับความจุในการจัดเก็บสัมภาระด้านหลังนั้นอยู่ที่ 647 ลิตร (22.8 ลูกบาศก์ฟุต) ซึ่งเทียบได้กับ Espace รุ่น 5 ที่นั่ง
ในฐานะเป็นเอสยูวีรุ่นเรือธง จะได้รับระบบส่งกำลัง E-Tech ที่มีประสิทธิภาพและทรงพลังที่สุดของผู้ผลิต โดยในรุ่นพื้นฐานมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.2 ลิตร 3 ลูกสูบ เทอร์โบชาร์จ ให้พละกำลังสูงสุด 129 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 2 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้พละกำลังของระบบรวมกันคือ 197 แรงม้า (147 กิโลวัตต์ / 200 PS) และแรงบิด 205 นิวตันเมตร (151.2 ปอนด์-ฟุต)
ส่วนรุ่นปลั๊กอินไฮบริด จะได้รับ “ระบบส่งกำลัง E-Tech 4×4 ตัวประสิทธิภาพสูง ” สามารถให้กำลังรวม 296 แรงม้า (221 กิโลวัตต์ / 300 PS) โดยพละกำลังที่มากขึ้นได้มาจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งอยู่ด้านหลัง แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลจำเพาะโดยละเอียดของระบบ PHEV แต่ทางแบรนด์ก็ยืนยันว่าจะสามารถให้ระยะทางการใช้งานที่เพียงพอในโหมดการขับขี่ด้าวยไฟฟ้าล้วน
Renault Rafale มีกำหนดวางจำหน่ายทั่วยุโรป และตลาดอื่นๆ บางแห่ง ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 2024 และมี คู่แข่งในกลุ่มเดียวกันอย่าง Peugeot 408, Citroen C5X fastback, Mercedes-Benz GLC Coupe, BMW X4 และ Audi Q5 Sportback
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย Off Road Magazine
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ https://offroadmag-thailand.grandprix.co.th/
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.