“ตำนานแห่งการล่าประสบการณ์ชีวิต…” โจ๋ย บางจาก
การตีแผ่ความจริง ในสิ่งที่คนอาจไม่ค่อยรู้ หรือรู้ยังไม่กระจ่าง นำมาถ่ายทอดผ่านการเล่าเรื่องอย่างเข้าใจง่าย ในรูปแบบรายการสารคดีที่ไม่ชักจูง หรือชี้นำให้ใครต้องเชื่อ เพียงแต่เป็นเรื่องเล่าที่สะท้อนให้เห็นความจริงในอีกมุมของโลกที่ต่างออกไปจากสารคดีทั่วไป ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่านาทีนี้ยังไม่มีใครที่จะถ่ายทอด และกล้าที่จะนำเสนอเรื่องราวในมุมต่างๆ ทั่วโลกได้ดีไปกว่าเขาคนนี้ “สันติธร หุตาคม” หรือ “โจ๋ย บางจาก” ผู้บุกเบิกสารคดีส่องโลก สารคดีคุณภาพที่หลายคนรู้จักเป็นอย่างดี
เกือบสามสิบปีที่เขาคนนี้ขมักขะเม่นอยู่กับการทำรายการ “ส่องโลก” และอีกกว่าหนึ่งเท่าของอายุงานที่กล่าวมา โจ๋ย บางจาก ในหลากหลายสถานะที่หลายคนขนานนามให้เขา ทั้งผู้บุกเบิก นักอนุรักษ์ นักสารคดี พิธีกร แต่ไม่ว่าจะในฐานะใด ออฟโรดขอยกให้เขาเป็นนักล่าประสบการณ์ชีวิตบนเส้นทางออฟไลฟ์ หรือเส้นทางที่นอกกรอบอย่างที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน
โลดโผนบนเส้นทางที่เลือกเองแต่เด็ก
“ผมออกจากบ้านตั้งแต่ 11 ขวบ ด้วยความที่อยากออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ทำมาหากินทุกอย่างที่สามารถทำได้ อย่าถามว่าทำอะไรบ้าง แต่ถามว่าอะไรที่ไม่ได้ทำจะดีกว่า ถึงขนาดไปอาศัยคนใบ้นอนด้วยก็ทำ ผมไม่สนใจด้วยซ้ำ ว่าออกมาแล้วจะเป็นยังไงนอนไหน หากินยังไง เพราะตั้งแต่เด็กผมรู้ว่าผมสามารถเอาตัวรอดได้ ตอนนั้นจะเรียกว่าเร่ร่อนก็ได้ อยู่อย่างนั้นเป็นสิบปี ในระหว่างสิบปีนี้ผมไม่เคยคิดอยากกลับบ้าน จนกระทั่งได้กลับมาอีกครั้งก็ผ่านไปสิบปี กลับไปเพราะผมจะแต่งงาน”
จุดเริ่มต้นของการจับกล้อง
วันหนึ่งผมรู้ข่าวว่าคุณพ่อได้ฝากพี่ชายไปทำงานกับดาวสยาม ผมก็เข้าไปสมัครงานกับคุณประสาน มีเฟื่องศาสตร์ โดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นลูกคุณพ่อ เป็นน้องของพี่ชายที่พ่อฝากงานให้ แต่ผมก็เข้ามาเป็นเด็กชงกาแฟ ส่งเอกสาร แฟกซ์ต่างๆ โดยมีคนที่สอนงานผมคือ สันทัด วณิชพันธุ์ นามปากกา สองคม ผมก็ทำงานไปบวกกับสังเกตและเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ทั้งที่เป็นเด็กชงกาแฟอยู่ 2 ปีเต็ม จนผมได้ไปเป็นช่างภาพ ในฐานะสื่อของดาวสยาม เพื่อคอยถ่ายภาพผู้บาดเจ็บ เพื่อลงข่าวหน้า1 และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการจับกล้องของผม
เรื่องการเรียนรู้งาน แนวคิด หรือมุมมองด้านนี้มันอยู่ในตัวผม อยู่ในสายเลือดผม จากคุณพ่อคุณแม่ ท่านไม่ได้ปลูกฝังอะไรเลย แต่มันคงอยู่ในสายเลือด ในช่วงนั้น หลังจากสิบปีที่ผมหายไป พอกลับมา ผมมีโอกาสได้เรียนรู้ดูงานจากคุณพ่อเยอะ เพราะท่านทำงานในกรมประชาสงเคราะห์ หน้าที่คือการดูแลชาวเขา ตอนนั้นในหลวงทรงมีรับสั่งว่าไม่รู้จักคนที่อยุ่ชายแดนเลยจึงตั้งหน่วยนี้ขึ้นมา เพื่อศึกษาภาษาและการกินอยู่ของเขา เพื่อจะได้เข้าถึง ผมจึงเข้าไปช่วยพ่อ พ่อก็ฝากผมให้ไปช่วยถือกล่องของฟิล์ม ทำให้ได้เห็นชีวิต งานนี้ไม่มีค่าตอบแทน แต่ก็เหมือนได้เรียนโดยที่ไม่เสียสตางค์ ผมถ่ายรูปมา 5 ปีที่โรงพยาบาลตำรวจ ก่อนที่จะออกไปถ่ายรูปในสายข่าวบันเทิง
สมยานาม “โจ๋ย บางจาก” มาจากไหน
เดิมทีตอนเขียนข่าวผมคือ “โจ๋ย บางจวก” เนื่องมาจากทุกคนสมัยนั้นมีชื่อแล้วมีบางตามหลังกันหมด แล้วผมเขียนข่าว นำเสนอเรื่องจริง ไม่เขียนเพื่อเอาใจใคร จวกไปเรื่อยแต่เป็นเรื่องจริง อย่าง เบิ้ม บางเบิด ก็ลูกพี่ผม เราจึงขอมีบางด้วย ตอนนั้นบ้านอยู่บางจาก เลยได้มาเป็น “โจ๋ย บางจาก”
เขียนข่าวจนโดนตีหัวถึงที่ทำงาน
บังเอิญช่วงที่ทำงานสายบันเทิงอยู่ ผมรู้จักกับเพื่อนพ่อคนหนึ่ง เขาทำสัมปทานรถไฟ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย สมัยนั้นมีการทำรถไฟเพื่อการท่องเที่ยวแล้วออกทีวี ซึ่งเป็นรายการกึ่งสารคดีที่ค่อนข้างจะเป็นจริงแต่ไม่ทั้งหมด เพราะหลายๆ อย่างถูกเมคขึ้นมา ผมดูแล้วไม่ชอบ ทำให้มีไอเดียว่า ถ้าวันหนึ่งเราทำสารคดีเอง เราอยากจะเป็นลูกตาแทนคนเพื่อเล่าเรื่องจริงที่คนอาจไม่รู้ ตอนนั้นการใช้กล้องถ่ายงานแต่ละครั้ง ข้อห้ามเยอะ มุมที่แปลก หรือพิสดารต่างๆ เขาจะไม่ค่อยให้ออกอากาศแต่ผมเป็นคนปฏิวัติจุดนี้ ผมอยากทำในสิ่งที่ผมอยากทำ ไม่ใช่ทำในสิ่งที่คนอื่นอยากให้ทำ หลังจากนั้นช่วงที่ผมเข้าไปทำช่าวบันเทิงในสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ก็มีโอกาสไปเจอผู้ใหญ่ในช่อง พอดีทางสถานีเขาบอกว่าอยากทำรายการสารคดีแนวนี้ ด้วยความที่ผมเป็นนักข่าว รู้เยอะ เขาจึงชวนไปทำ
ย้อนไปเมื่อ 32 ปี กับผลงานสารคดีส่องโลกชิ้นแรก
สารคดีชิ้นแรกที่ทำแล้วเอาไปออกอากาศกับทางช่อง 5 ผมจำชื่อเรื่องไม่ได้ แต่เนื้อหาเกี่ยวกับเขาค้อ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสหาย บี12 ที่ถูกยิงตาย ซึ่งตรงนี้เป็นรหัสที่ใช้เรียกสหายที่อยู่ในป่า คนเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มที่ต่อต้านอะไร เพียงแต่ไม่ชอบนโยบายที่รัฐบาลในยุคนั้นทำ เขาจึงเข้ามารบแทนกลุ่มคนที่เห็นด้วย ที่ผมคิดทำนั้นเพราะอยากนำเสนออุดมการณ์ของผู้ที่เข้าไปรบ ส่วนพี่หงา ผมเรียกแกว่าอาจารย์ใหญ่ เขาเป็นคนที่ทางวิทยุไม่เอาเพลงเขาไปออก หรือแม้แต่สื่อสาธารณะอื่นๆ ก็โดนห้าม เพราะทหารไม่เอาแก เรารู้จักแกเพราะได้ยินเพลงของแกมาก่อน ผมจึงรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม อย่างตอนนั้นเขาประกาศเลยว่าใครเอาเพลงของพี่หงามาออกถือว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ผมก็ไปเอาเพลงของแกมาออก ผมอยากเปิดตัวน้าหงา ทางช่องก็ตำหนินะ เซ็นเซอร์เพลงทั้งหมด ผมก็เอาแค่บางท่อนที่สามารถออกอากาศได้มาออก ผมแค่รู้สึกว่าไม่มีใครกล้าช่วยแกเลยสักคน ผมเลยอยากเป็นคนดึงเพลงเหล่านี้มาออก เพราะมันเป็นเพลงที่เล่าเรื่องราวที่ไม่มีใครรู้ ทำให้โดนแบนจากคนกลุ่มหนึ่ง นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากทำ นำเสนอเรื่องจริงที่คนไม่ได้รู้
จุดเริ่มต้น หรือต้นแบบที่อยากทำสารคดี
ผมรักการเดินป่า ผูกพันอยู่กับกิจกรรมเหล่านี้มานาน เวลาที่ผมเห็นนกบินบนท้องฟ้า แต่เป็นเขตน่านฟ้าของประเทศอื่น ผมรู้สึกว่าทำไมนกถึงบินแบบเสรี ทำไมทหารไม่ยิงร่วง แล้วคนล่ะ คนกับสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน ทำไมถึงต้องมีกำหนดข้อห้ามอะไรมากมาย
ที่มาของ “ส่องโลก”
ครั้งแรกมีคนทักเหมือนกันนะว่าคุณกล้ามากที่ทำชื่อรายการแบบนี้ ถึงเวลาจริงๆ คุณกล้าที่จะออกไปส่องทั่วโลกและนำเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาออกเหรอ การทำรายการสารคดีหารายได้ลำบาก แต่เมื่อทำตอนแรกออกไปฟีตแบคดีมากนะ กลุ่มที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเขาก็ชอบกันหมด ส่วนกลุ่มที่เกี่ยวข้องก็ไม่ชอบ แต่พวกทหารเขาโอเคกับผมมาก ยินดีที่จะสนับสนุน และมอบงานอื่นๆ ให้ผมทำด้วย งานชิ้นนี้ผมควักทุนตัวเองด้วยซ้ำ
มุมมองของกล้อง
ผมเป็นคนช่างฝัน และมุมมองความฝันของผมรับรองได้ว่าไม่เหมือนคนอื่นแน่นอน ภาพในหัวผมค่อนข้างพิสดาร ผมถึงกล้าทำในสิ่งที่แตกต่าง แต่ความแตกต่างก็ต้องมีจุดยืน ผมอยากทำผมจึงทำ แม้ว่าจะต้องควักทุนตัวเองผมก็ทำ ผมทำเจ๊งอยู่สองปีนะสำหรับรายการ แต่พอขึ้นปีที่สาม ต้องซื้อโฆษณาเพิ่ม แต่การซื้อโฆษณาเพิ่มนี้ ยิ่งทำให้ยากเข้าไปใหญ่ เพราะทางสถานีจะเก็บค่าโฆษณาเราเพิ่มอีกสองเท่า แต่ผมไม่อยากเสียลูกค้า ผมก็ต้องทำ แต่อยู่ๆ ก็มีผู้ใหญ่ใจดีเพียงรายเดียวเท่านั้นที่เข้ามาสนับสนุนผม นั่นคือบุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด เข้ามาสนับสนุนผมตั้งแต่ต้นจนจบ วันหนึ่งผมขอให้ทางบุญรอดฯ ลดค่าโฆษณาในรายการลงมา เนื่องจากผมเปลี่ยนช่องสถานีออกอากาศ ทางบุญรอดตอบกลับมาว่า ผมลดคุณภาพคุณลงไม่ได้หรอก! นี่คือผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพจริง เพราะเวลาผมทำงานกับใคร ผมก็เอาวิญญาณไปทิ้งไว้ตรงนั้น นี่คือผม ผมไม่พรีเซ้นท์ที่จะขายอะไร นอกจากความจริง
สารคดีที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของ “โจ๋ย บางจาก”
ต้องเรื่องชายแดนตะวันตก ทั้งในป่า ทุ่งใหญ่นเรศวร ผมชอบเดินทางเพื่อตามหาถ่ายสัตว์ที่หายาก ผมต้องการค้นหาว่ามันมีอยู่จริงไหม มีเท่าไหร่ หรือศูนย์พันธุ์ไปแล้วจริงๆ ผมอยากให้คนอื่นได้เห็นในสิ่งที่ยังมีอยู่ และเขาไม่มีโอกาสได้เข้าไปเห็น ก็เหมือนกับชื่อรายการส่องโลก เราเข้าไปเป็นตาให้เขา ไม่งั้นผมไม่แบกของหนักขนาดนี้ เมื่อก่อนผมสูง 176 เซนติเมตร แต่ตอนนี้ผมเหลือแค่ 171 เซนติเมตร กระดูกมันทรุดลงมาเพราะแบกของหนัก ข้อต่อคอ หลังมันแย่ไปหมด สองปีก่อนหน้านี้ผมเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะขาผมไม่มีแรง ต้องไปดึงกระดูก กว่าจะหายดีนานมาก มีช่วงหนึ่งที่ผมหายไปนั่นก็เพราะผมป่วย เป็นโรคที่แม้แต่ศูนย์เวชศาสตร์เขตร้อนหาไม่เจอว่าคือโรคอะไร เป็นโรคประหลาด มันเป็นหนองทั้งตัว หลายคนคิดว่าผมเป็นเอดส์ ซึ่งก็ไม่หายขาดนะ ต้องใช้เวลาอยู่ระยะหนึ่งมันหายไปเอง แต่เชื้อก็ยังฝังอยู่ข้างใน เคยแม้กระทั่งเท้าบวมจนรองเท้าหนังระเบิด ตอนนั้นผมเข้าไปในป่าเพื่อถ่ายสารคดี แล้วป่วย นอนพักอยู่ก็ไม่เคยได้ถอดรองเท้าหรอก เพราะโดยสันดาน ถ้านอนที่แปลกถิ่นในเขตอันตราย ผมจะไม่ถอดรองเท้า ต้องพร้อมเผ่นได้ทุกเวลา เพราะเคยมีประสบการณ์ 8 วินาทีมาแล้ว คือผมนอนๆ อยู่ได้ยินเสียงดัง บล็อก เสียงเครื่องยิงเขาเล็งมาที่เรา หลังจากนั้นก็ลุกเผ่นได้ทันที
นักแก้ปัญหาตัวยง
ผมเป็นนักแก้ปัญหาช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานได้ดี สามารถแก้ปัญหาได้หมด ไม่ตื่นตกใจ เอาตัวรอดได้แบบไม่ผิดกฎหมาย ตอนนั้นที่เป็นเรื่องฮือฮามากที่สุด คือ เขาให้ทะเบียนรถผมติดแบล็คลิสต์ เนื่องจากเขาให้ผมเข้าไปอยู่ได้แค่ 7 วัน แต่ผมเข้าไปอยู่ 22 วัน เข้าไปเพื่อถ่ายทำสารคดี ตอนนั้นรู้สึกว่าต้องถูกปรับประมาณสี่แสนบาท แล้วผู้ว่าราชการจังหวัดเขาก็มาช่วย สร้างสถานการณ์ทำให้ผมสามารถข้ามกลับเข้ามาได้โดยไม่ต้องเสียค่าปรับ หลังจากนั้นแบลคลิสต์ห้ามเข้าเด็ดขาด แต่ผมก็ต้องเข้าเพื่อไปทำงานต่อ แต่ผมก็จำเป็นต้องเข้า เลยคิดว่าต้องปรับอะไรบางอย่าง เลยให้ลูกน้องเอาสีสเปรย์มาพ่นทับสีเดิมของรถ ลอกฟิล์มออกให้ใสเหมือนรถยนต์ที่ลาว ติดอยู่อย่างเดียวที่ทะเบียนรถ ผมก็ไม่อยากทำผิดกฎหมายด้วยการเอาทะเบียนปลอมมาใส่ เลยกลับหัวทะเบียนตีลังกา เพราะที่นู่นเขาจะเทียบว่าตรงไหม พอเทียบแล้วเลขไม่ตรงกัน เพราะมันกลับหัวอยู่ เจ้าหน้าที่ก็จับผิดไม่ได้แล้ว พอผ่านมาได้ หลังจากนั้น20 นาที เขาตรวจเจอ เชื่อไหมว่าลาวแค้นมาก จนเขาต้องเชิญเราไปเป็นที่ปรึกษา
นิยามความเป็นตัวตนของ “โจ๋ย บางจาก”
ผมอาจเป็นนักหาประสบการณ์ชีวิตมากกว่า ผมจะไม่มานั่งทิ้งท้ายให้คนอนุรักษ์ธรรมชาติ เพียงแต่ผมจะนำเสนอและพาพวกเขาไปได้เห็นเท่านั้น สุดท้ายแล้วเขาจะสะเทือนใจแล้วได้คิดเอง บางเรื่องบางสิ่งที่ผมได้ไปสัมผัสมา มันเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่สอนอะไรให้กับชีวิตและความคิดของคนได้มาก ทุกวันนี้ผมยอมรับสภาพความตายได้ ไม่เคยกลัวเลย สามารถยืนอยู่ได้ ณ วันเวลาที่กระสุนเล็งมา
ถ้าจะมาถามถึงคำจัดความ หรือนิยามอะไร มันไม่มีหรอก เพราะผมทำงานหลังกล้องตลอดชีวิต ยิ่งสมัยก่อนที่ใครมาขอสัมภาษณ์ผม ผมไม่เคยออกสื่อเบื้องหน้าเลยนะ เพราะผมทำงานยาก ผมไปที่ไหน ก็จะไปคนเดียว ไปซ่อนตัวอยู่ แล้วแอบเก็บบรรยากาศ ผมแค่เป็นคนหนึ่งที่อยากทำสื่อที่ให้คนรับรู้ง่ายที่สุด บอกเล่าเรื่องราว
คำว่า “สารคดี” มันไม่มีวันเน่าหรอก อย่างดารานักแสดง เขาขายตัวเขา ขายความสามารถของเขา แต่สำหรับผมผมไม่ได้ขายตัวเอง ผมขายเรื่องราว ขายมุมมอง ผมทำตรงนี้เพราะผมรัก ผมขอทำงานแบบเรื่องจริง ผมทำแบบนี้มาตลอดชีวิตการทำสารคดี ทำในสิ่งที่อยากทำ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นประวัติศาสตร์ที่แท้จริง ผมไม่อยากที่จะแต้มแต่งอะไรลงไปในเรื่องราวประวัติศาสตร์เหล่านั้นแม้แต่นิดเดียว
ทำรายการโทรทัศน์ก็ต้องมีรายได้
ทุกวันนี้มีแต่ลูกค้าเดินเข้ามาหา ผมไม่ต้องมีฝ่ายขายหรือฝ่ายการตลาด ให้วุ่นวาย นั่นเพราะผมไม่ใฝ่หาสิ่งเหล่านั้น ทำงานสไตล์ผม ไม่ได้หวังรวย ผมหวังเลี้ยงลูกน้อง ขอแค่สามารถขึ้นเงินเดือนให้ลูกน้องได้สักปีละห้าพันบาทก็พอแล้ว มีความสุข แล้วลูกน้องทุกคนรู้เลยว่าทำงานกับผม อยู่จนตาย ผมไม่ไล่มันออก ต้องอยู่จนตายห่าไปข้าง ทุกคนอาจต้องการสวัสดิการ เงินเดือนผมอาจจะไม่มากมาย แต่เชื่อได้ว่าทำงานกับผมมั่นคงชิพหาย ขนาดผมซื้อที่ซื้อบ้านให้ เพราะผมต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายให้พวกเขา อยู่กันเป็นครอบครัว เขาไม่ได้อยู่อย่างหรูหรา
ผมตั้งใจจะอยู่อย่างนี้ ทำงานจริงจังมากๆ ไม่มีการเอาอกเอาใจใคร เพราะเราแคร์คนดู สังเกตว่าผมจะไม่ใช้ภาษาอังกฤษเลย เพราะผมต้องการให้คนที่ไม่รู้หนังสือ หรือแม้แต่คนจบแค่ ป.4 ก็ดูรายการผมได้ ได้เข้าใจสิ่งที่ผมนำเสนอได้ง่ายที่สุด
เปรียบเทียบตัวเองเป็นรถออฟโรดสักคัน
ผมอยากเป็น Jeep Cherokee รุ่นแรกที่เป็นพวงมาลัยสามก้าน รุ่นนำเข้า เวลาคลึงพวงมาลัยผมรู้สึกเพลินเหมือนคลึงนมสาวเลย มันคลาสสิกมากรุ่นนี้ ถ้าเปรียบรถรุ่นนี้เป็นภรรยาเรา เราก็ไม่เบื่อที่จะรัก มันไม่มีใครลืม ต่อให้เก่าชิพหายก็ไม่ลืม
เป้าหมายสุดท้ายในชีวิต และรายการสิงห์ส่องโลก
ในแง่ชีวิตผมคิดว่าน่าจะตายนะ เพราะเมื่อปีที่แล้ว หมอเติมยาเราไม่ได้ เพราะผมแพ้ยา ถ้าเป็นอะไรไปหมดก็ได้แต่นั่งเฉยๆ ถ้าไม่ตายจะทำอะไร ไม่มีเป้าหมายแล้วล่ะ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ชีวิต 60 ปี มันยังไม่คุ้มหรอกสำหรับผม มันยังต้องพบ ต้องเจออีกมาก เพราะโลกมันเปลี่ยนไปเรื่อย สภาพแวดล้อมทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนไปตามเวลา ฉะนั้นมันมีอีกหลายอย่างรอให้เราออกไปส่อง
ส่วนเป้าหมายของรายการ ผมก็พยายามจะดันคนรุ่นใหม่ สอนให้เขารู้จักแก้ไขปัญหาให้ได้ คนทำงานสารคดีต้องเป็นคนที่รู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าตอนนั้นมันกำลังจะเป็นจะตายยังไง เวลาเราทำงานกันมันคือการทำแบบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เอาจริงเอาจังมาก
ฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ที่มี “โจ๋ย บางจาก” เป็นไอดอล
ออกจากบ้าน คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณกำลังหันหน้าไปทางทิศไหน ถ้าเขารู้ว่าเขาออกจากบ้านทิศไหน เขาก็รู้จักโลกแล้ว เพราะคนไทยเดินออกจากบ้านไปยังไม่รู้ทิศเลย อ่านแต่ป้าย ป้ายว่ายังไง ก็ไปตามนั้น! มันไม่ถูกต้อง