ในอ้อมกอดแห่งหิมาลัย (ตอนที่ 9)
อากาศที่แสนดีของเมืองลี่เจียง ปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ ที่พักของเราเมื่อคืนนี้อยู่ติดกับกังหันน้ำ ที่ถือเป็นอีกสถานที่ยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวมักจะมาถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกเมื่อได้เดินทางมาเยือน ผมยันกายลุกขึ้นจากที่นอนอุ่นๆ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็พบกับภาพท้องฟ้าที่ขมุกขมัว นั่นก็คงเป็นเหมือนสัญญาณบอกกับเราว่า เส้นทางที่ลัดเลาะโตรกผาเพื่อมุ่งหน้าสู่จงเตี้ยน คงจะต้องมีอุปสรรคไม่มากก็น้อย รอโบกมือทักทายเราอยู่ข้างหน้า เนื่องจากประสบการณ์ขับรถบนเส้นทางสายนี้มาสิบกว่าปี ครั้งใดที่ต้องข้ามผ่านเส้นทางนี้ในยามที่สายฝนโปรยปราย เราก็จะพบกับภัยธรรมชาติเล็กน้อยระหว่างเส้นทาง รวมไปถึงอุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากความลื่นของพื้นผิวทาง
สัญญาณที่ท้องฟ้าขมุกขมัวในเช้านี้ จึงทำให้ผมต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเรายังเดินทางขึ้นมายังไม่ได้ค่อนของเส้นทาง จุดที่ผมจะต้องขับรถไปในวันนี้ ถึงแม้จะเริ่มมีผู้คนทิเบตให้เห็นบ้างแล้ว แต่ก็ยังถือว่าตั้งอยู่เพียงแค่เขตของมณทลยูนนานเท่านั้น
ผมเดินมายืนที่ริมหน้าต่าง เมื่อมองออกไปก็เห็นหลังคาบ้านเรือนแบบโบราณตั้งเรียงราย อีกฝั่งหนึ่งเริ่มเห็นภาพของนักท่องเที่ยว ที่ออกมาเดินสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกาย ที่ลานกว้างหน้ากังหันน้ำในยามเช้า เป็นอีกที่หนึ่ง ที่ผู้คนมักออกมาเดินสัมผัสกับไอเย็นของเมืองเก่า ลานกว้างที่พื้นถูกเรียงรายไปด้วยแผ่นหินในยามเช้า ในยุคนี้จะมีพ่อค้าแม่ค้าที่นำอาหารเช้าง่ายๆ ใส่รถสามล้อถีบหรือรถเข็นมาให้บริการถึงที่ เมนูอาหารเช้าที่พร้อมเสริฟเหล่านี้ก็เป็นพวกหมั่นโถว ปาท่องโก๋ หรือแม้แต่นมถั่วเหลืองร้อนๆ สนนราคาถ้าเทียบกับในบ้านเราก็ไม่ได้ถือว่าแพง อย่างนมถั่วเหลือง 1 แก้ว ราคาประมาณ 2 หยวน คิดเป็นเงินบ้านเราก็ราวๆ 10 บาทเท่านั้นเอง แต่ร้านเหล่านี้จะไม่มีโต๊ะเก้าอี้ให้บริการ ถัดมาจากลานกว้างไม่ไกล หากใครอยากนั่งเติมพลังในยามเช้า พร้อมกับสัมผัสวิถีของชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เมืองเก่า ก็จะมีร้านอาหารเช้ารูปแบบของชาวบ้านคอยให้บริการเช่นกัน อาหารในร้านก็เป็นเมนูจำพวกหมั่นโถว เกี๊ยวน้ำ หรืออาหารจะพวกแป้วแผ่น ที่หน้าตาละม้ายแป้งพิซซ่า เพียงแต่ไม่มีหน้าอบไปพร้อมกับตัวแป้ง
แป้งแผ่นเหล่านี้ ทำมาจากแป้งสาลี นำมานวดแล้วปรุงรส ก่อนที่จะนำไปนาบกับความร้อนจนแป้งสุก และพองตัว ก่อนเสริฟ เค้าจะมีหน้าต่างหากนำมาทางบนแผ่นแป้ง รับประทานกับน้ำชาหอมๆ ร้อนๆ ก็สามรถจะสบายท้องได้ถึงมื้อกลางวันทีเดียว
หลังจากจัดการกับภารกิจในยามเช้าเสร็จ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นก็คือ การตรวจสอบสภาพของไอ้กะชอโพ ม้าศึกคู่กาย ที่จะต้องฝ่าฟันไปบนเส้นทางที่ข้างหน้า ผมเองก็บอกไม่ได้ว่าในแต่ละวันเราจะต้องพบเจอกับอะไร การตรวจสอบสภาพโดยรวม ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ที่ผมจะละเลยไม่ได้ เพราะเวลาอีกเป็นแรมเดือน ที่เราทั้งคู่จะต้องฝ่าฟันไป อุปสรรคที่กั้นขวางอยู่ข้างหน้า เราจะต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้ ดังนั้นสุขภาพของไอ้กะชอโพ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผมจะต้องจัดการในทุกเช้า มากบ้าง น้อยบ้างแล้วแต่อาการและสภาพเส้นทางของแต่ละวันที่เราวิ่งผ่านมา อย่างในเช้านี้ เรื่องหลักๆ นั่นก็คือ เรื่องของอุณหภูมิที่จะลดต่ำลงในระหว่างเส้นทาง อาจลดต่ำจนถึง 0 องศา
สภาพของของเหลวต่างๆ ที่เราเตรียมมา ต้องมั่นใจว่าประสิทธิภาพของของเหลวเหล่านั้น จะสามารถทำงานได้ในอุณหภูมิที่ลดต่ำ รวมไปถึงเสื้อผ้าของเราที่ต้องเตรียมไว้ให้เหมาะกับสภาพอากาศในแต่ละวัน การเดินทางที่ยาวไกลในลักษณะนี้ เราจะต้องข้ามผ่านภูมิประเทศและภูมิอากาศที่หลากหลาย หากเราไม่เตรียมเรื่องเครื่องนุ่งห่มให้เหมาะสมกับในแต่ละวัน อาจหมายถึงสุขภาพของเราที่จะย่ำแย่ ในภาวะที่อุณหภูมิเปลี่ยน เราอาจป่วย ซึ่งในการป่วยเหล่านี้ อาจทำให้เกิดอุปสรรคขึ้นในระหว่างการเดินทางอันยาวไกลของเราเช่นกัน
ด้วยความฉ่ำชื้นจากสายฝนที่โปรยปรายพร้อมกับสายลมหนาวที่โชยพัดมา บนเส้นทาง G214 ที่ทอดตัวยาว กำลังพาผมลัดเลาะไปตามโตรกผา เพื่อมุงหน้าสู่เมืองจงเตี้ยน จุดหมายของเราในค่ำคืนนี้ สายลมหนาวที่พัดเอากลิ่นของหิมาลัยเข้ามาประทะบนใบหน้า มันเหมือนสายลมแห่งสุข ที่พัดเข้ามาทักทายเราอีกครั้ง ยามเมื่อรอยล้อได้หมุนผ่านไปในเส้นทางสายนี้
ในแต่ละปี เส้นทางสายนี้จะมีการซ่อมแซมอยู่ตลอด เนื่องจากจากสภาพอากาศ รวมไปถึงภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้น และทุกครั้งที่สายฝนเทลงมา ระหว่างเส้นทางที่คดเคี้ยวและลื่นเป็นพิเศษ ผมมักจะใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 4H บนเส้นทางสายนี้ ความเร็วเฉลี่ยที่ผมนิยมใช้เดินทางในสภาพเส้นทางเหล่านี้ อยู่ที่ 80 กม/ชม เท่านั้น เนื่องจากความเร็วประมาณนี้ เราจะสามารถบังคับและควบคุมรถเราได้ง่าย หากพบเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หลายช่วงของเส้นทาง เราอาจพบเจอกับภาพอุบัติเหตุของรถเจ้าถิ่น ซึ่งก็จะถือเป็นเรื่องปกติของถนนสายนี้ เมื่อยามที่สายฝนที่ปนกับความหนาวหล่นลงมาทักทาย อุบัติเหตุเหล่านี้ หากเกิดขึ้นในวันที่ปริมาณของยานพาหนะบนเส้นทางเยอะมาก อาจทำให้เราต้องติดอยู่บนเส้นทางเป็นครึ่งค่อนวัน กว่าที่เจ้าหน้าที่จะมาเคลียร์รถที่เกิดอุบัติเหตุออกจากเส้นทางได้ นั่นก็หมายถึงว่า เราอาจต้องจอดรถอยู่บนถนน โดยที่ไม่มีการขยับเขยื้อนไปไหน ราว 2-6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
ประสบการณ์เหล่านี้ จึงทำให้ผมเอง ต้องมีเสบียงติดอยู่ท้ายรถตลอดเวลา ยามเมื่อจะต้องข้ามผ่านไปบนเส้นทางเหล่านี้ จากเส้นทางที่คดเคี้ยวลัดเลาะโตรกผา เราก็จะเดินทางมาเลาะเลียบไปกับจินซาเจียง หรืออีกชื่อหนึ่งคือ แม่น้ำทรายทอง แม่น้ำสายนี้ ทอดตัวยาวแบ่งกั้นเขตปกครองตนเองของชาวน่าซิ กบชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตของลี่เจียง กับชาวจ้าง ที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองทิเบต บนที่ลาบสูงตี๋ซิง เมื่อเราข้ามผ่านสะพานแห่งนี้มา ภาพอีกฝั่งหนึ่งของเทือกเขาหิมะมังกรหยก ที่สวยงามก็จะโบกมือทักทายเรา หลายครั้งในการรอนแรม ผมก็อดไม่ได้ ที่จะต้องหาทำเลเหมาะๆ จอดรถลงมาต้มกาแฟอุ่นๆ พร้อมกับชื่นชมกับบรรยากาศของริมฝั่งน้ำจินซาเจียง ที่มีแบล็คกราวหลังเป็นเทือกเขาหิมะมังกรหยก เมื่อแสงแดดที่สะท้อนลงมาจากยอดเขาหิมะ ตกกระทบลงบนสายน้ำทรายทองที่ไหลเอื่อย ผมชอบที่จะนั่งจิบกาแฟร้อนๆ แล้วทอดสายตาไปยังหาดทรายขาวๆ ของริมฝั่งน้ำแห่งนี้ หลายครั้งในการรอนแรมของผม เรื่องราวระหว่างเส้นทาง มันยังมีแรงดึงดูดให้กับผมได้เสมอ เรื่องราวเหล่านี้ มันยังเดินจูงมือมากับความสุข ที่ยังวนเวียนอยู่รอบกายเราเสมอ
จากแม่น้ำทรายทอง เราต้องไต่ระดับความสูง เพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองจงเตี้ยน ภูมิประเทศตรงนี้เริ่มเปลี่ยนไป ต้นไม้ใหญ่เริ่มลดน้อยลงไปตามระดับความสูงที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับอากาศที่เย็นลง เส้นทางสายนี้ปริมาณของรถบนท้องถนนจะไม่เยอะ เมื่อเทียบกับเส้นทางจากลี่เจียงที่มุ่งหน้ามาที่จินซาเจียง เสียงยางมัดเทอเรนของไอ้กะชอโพ ที่กรีดร้องไปบนถนน ยามเมื่อผ่านช่องเขายังคงกังวาน ไปพร้อมๆ กับเสียงของเครื่องยนต์ เมื่อต้องต่อสู้กับแรงดึงดูของโลก เมื่อความสูงเริ่มเพิ่มขึ้น กอปรกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลง นั่นก็หมายถึงปริมาณอ็อกจิเจนในอากาศที่จะลดต่ำลงไปด้วย
เราจะเริ่มเห็นควันดำเล็ดลอดออกมาจากปลายท่อไอเสียของไอ้กะชอโพ เนื่องจากการเผาไหม้ที่ไม่เหมือนเดิม เสียงการเขกของวาลว์จากเครื่องยนต์มีดังมาบ้างเป็นระยะ ในยามที่ต้องเร่งรอบเครื่องไปถึง 3,000 รอบ แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติของเครื่องยนต์ ยามเมื่อต้องพบเจอกับสภาวะเช่นนี้ ยิ่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่เราเติมเข้าไป เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผสมสารลดจุดเยือกแข็งเข้าไปด้วยแล้ว อาการเช่นนี้จึงมีให้เห็นอยู่ทุกครั้ง ยามเมื่อต้องข้ามผ่านไปบนเส้นทางเหล่านี้ หลังจากที่ไต่ระดับความสูงจนมาอยู่ที่ระดับ 3,000 เมตร จากน้ำทะเล ภูมิประเทศแถบนี้จึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เราจะเริ่มพบกับภาพของทุ่งหญ้าและป่าสน ยิ่งในช่วงของเดือนพฤศจิกายน ป่าที่นี่จะเริ่มเปลี่ยนสี ซึ่งก็ถือเป็นภาพที่งดงามมากสำหรับนักเดินทางอย่างเรา เส้นทางสายนี้ ผมมักจะหมดเวลาไปกับการจอดแวะทักทายกับบรรยากาศดีๆ พร้อมด้วยมิตรภาพที่ริมทาง อุณหภูมิเฉลี่ยของระหว่างเส้นทางในวันนี้ จะอยู่ราวๆ 2 องศา ซึ่งก็พอดีกับเสื้อผ้า ที่เราได้จัดเตรียมมาตั้งแต่ในตอนเช้า
สายลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามาประทะร่างกายเราในขณะนี้ พร้อมกับภาพของทุ่งหญ้า ที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นเหมือนสัญญาณแห่งความสุข ภาพของสิ่งปลูกสร้างแบบทิเบต เริ่มมีให้เห็นบนเส้นทางสายนี้ หลายครั้งผมเลือกที่จะขับรถลัดเลาะเข้าไปตามหมู่บ้าน ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้า เรื่องราวพร้อมกับความอบอุ่นระหว่างชาวบ้านและคนแปลกหน้าอย่างเรา ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆ หลักไมล์ ที่เราเลือกที่จะเคลื่อนผ่านชีวิตไปแบบช้าๆ
(โปรดติดตาม ในอ้อมกอดแห่งหิมาลัย (ตอนที่ 10)ในฉบับต่อไปครับ
นายป๊อป MT เรื่อง/ภาพ
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.