เปิดบริสุทธิ์ออบแม่ลาย ตามหาต้นธารแห่งเขื่อนแม่กวง จ.เชียงใหม่
อากาศที่เชียงใหม่ช่วงสงกรานต์ปีนี้แสนจะร้อนอบอ้าว และการจารจรสุดแออัด ผมหนีร้อนและความวุ่นวายจอแจไปนอนแช่น้ำเล่นที่ลำห้วยแม่ลาย ท้ายเขื่อนแม่กวงธารา อำเภอดอยสะเก็ด กับเพื่อน 3 คัน ด้วยความที่ว่าผมนั้นไม่ชอบเที่ยวไปทีไหนที่มีนักท่องเที่ยวมากๆ เลยหนีเข้าไปแช่น้ำในลำห้วยที่สงบ และมีลำน้ำใสสะอาด มีป่าไม้สงบร่มเย็น
นี่เป็นครั้งแรกของผมที่ได้มาสัมผัสห้วยแม่ลายท้ายเขื่อน หลังจากที่เล็งไว้ในแผนที่ทางอากาศของกูเกิ้ลแม๊บมานานแล้วว่า มันมีเส้นทางเล็กๆ เส้นหนึ่งนำมาสู่ลำห้วยแห่งนี้ ทางรถยนต์ที่เคยเห็นในจอคอมพิวเตอร์มาสิ้นสุดที่รีสอร์ทร้าง ที่ทางราชการเขาคงกันให้ออกไปจากป่าสงวนไปแล้วนั่นเอง ทางต่อจากนี้เป็นทางรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านที่มาหาของป่า และมาหาปลาที่หลังเขื่อนแห่งนี้เท่านั้น
ผมกับเพื่อนจึงเอารถคู่ชีพลัดเลาะไปตามลำห้วยเล็กๆ ที่จะนำเราไปสู่ลำห้วยที่ใหญ่กว่าคือ ลำห้วยแม่ลาย ทริปนี้ตั้งใจว่าจะเอาแบบเบาๆ ที่ไหนได้เมื่อเจอกับการเปิดทางใหม่ที่เป็นทั้งร่องวีและโคลนทราย กว่าจะถึงลำห้วยแม่ลาย ระยะทางใหม่แค่กิโลกว่าๆ เล่นเอาสะบักสะบอมกันไม่น้อย กว่าจะถึงลำน้ำก็เที่ยงกว่าแล้ว
เมื่อเจอกับน้ำใสๆ ทรายสวยๆ จึงพากันเอารถลุยน้ำคลายร้อนกันทุกคัน เหมือนกับจะระบายความร้อนความคันอดอั้นมาตลอดทางที่ผ่านมา สุดท้ายบางคันก็จมหลุมทราย ติดแหง๊กยิ่งปั่นยิ่งจม นับว่าเป็นการต้อนรับของสายน้ำที่เย็นชุ่มฉ่ำสะใจเสียจริง
เราเลือกทำเลต้นมะเดื่อที่ร่มรื่นเป็นจุดพักผ่อน ทานอาหารเที่ยงแบบสบายสบาย ฝุงปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายผ่านไปมา คิดในใจว่าแหมเสียดายที่ไม่ได้เอาแหมาด้วยไม่งั้นคงได้ปรุงปลากันสดๆ สักมื้อ เหมือนพระเจ้ารู้ใจเมื่อไม่นานหลังอาหารเที่ยงมีลุงแก่ๆ คนหนึ่งเดินออกจากแนวป่ามาพร้อมกับกระชังปลาที่มีปลาขนาดเขื่องๆ อยู่หลายตัว ถามไถ่ก็ได้ความว่าลุงแกชื่อว่า ลุงอ้าย หรือที่ใครๆ เรียกแกว่า ลุงอ้ายปลาวอด เพราะแกหาปลาเก่งนั่นเอง
ลุงแกหาปลาไปขายอยู่แล้ว เมื่อเราขอซื้อแกจึงรีบขายให้ในราคาไม่แพงนัก แต่เรายื่นให้แกไปร้อยบาทพร้อมกับเบียร์เย็นๆหนึ่งขวด เมื่อเบียร์พร่องลงไปครึ่งขวด แกก็เล่าเรื่องราวที่สนุกเฮฮาให้เราฟังหลายเรื่อง ทั้งเรื่องปลา เรื่องผีสางนางไม้ เรื่องส่วนตัว ซึ่งเราฟังไปงั้นๆ พอหายเหงา แต่ผมก็มาหูผึ่งเมื่อแกบอกว่าเหนือน้ำจากตรงจุดที่เราอยู่นี้ขึ้นไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตรกว่าๆ มีออบแม่ลายที่สวยงามอยู่แห่งหนึ่ง…แค่นั้นแหละผมเริ่มสนใจในตัวแกขึ้นมาทันที ประสาคนชอบแสวงหาสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทายอยู่เสมอ
คำว่าออบนั้น มีความหมายว่า เป็นช่องแคบที่หุบเขาบีบตัวเข้าหากัน อาจจะมีลำธารอยู่ตรงกลางก็ได้ หรือว่าไม่มีก็เรียกได้ แต่ส่วนมากที่พบเห็นมักจะมีลำห้วยหรือธารน้ำไหลผ่านเช่น ออบหลวงและออบขานเป็นต้น
สำหรับทริปแรกนี้ผมทำได้เพียงเดินเท้าทวนแม่น้ำขึ้นไป เพื่อดูไลน์สำหรับที่จะรถยนต์เข้าไป ตามที่ลุงอ้ายบอกไว้ ว่าหากมีรถดีลุยลงน้ำ ลุยทรายและปีก้อนหินที่ระเกะระกะได้ก็เข้าไปเลย แบบนี้มันต้องลอง ผมเดินสำรวจไลน์ไปผ่านแก่งน้ำขนาดกลางที่มีแนวหินน้อยใหญ่อยู่เต็มไปหมด แต่ก็ยังเห็นแนวทางที่พอจะเอารถซอกแซกขึ้นไปได้ บนฝั่งบางจุดผมสังเกตเห็นร่องรอยรถชักลากไม้อยู่รางๆโดยมีกอไม้ไผ่ขึ้นปกคลุมอยู่หนาแน่น เรื่องที่จะใช้ทางเก่านี้คงต้องลืมไปเลย ดีที่สุดคือ ขับขึ้นไปตามลำห้วย ทริปแรกนี้ผมจึงทำได้เพียงดูแนวทางไว้ก่อนเท่านั้นเอง เย็นแล้วก็ต้องรีบกลับออกมา
เย็นวันนั้นผมรีบเปิดดูแผนที่ในกูเกิ้ลอีกครั้ง จนเห็นแนวออบแม่ลายบนแผนที่ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ผมกับเพื่อนไปมาแล้วมากนัก น่าจะไม่เกิน 3 กิโลเมตร แต่ด้วยความที่ความละเอียดของภาพในจอคอมพิวเตอร์มีไม่มาก ผมจึงทำได้เพียงทำหมายไว้แล้วหาพรรคพวกร่วมลุยอีกทีเท่านั้น
แล้วอีกสองอาทิตย์ต่อมาผมก็ได้ไปที่นั่นอีกครั้งสมใจหมาย แต่ก็ทวนน้ำไปได้เพียง 500 เมตรก็ต้องหยุดพักแรม พวกเราใช้เวลา 3 ชั่วโมงขับผ่านธารทรายดูด ทั้งวินช์ ทั้งดึงช่วยกันและกัน และต้องวินช์เอาขอนไม้และก้อนหินที่ขวางทางออก เล่นเอากว่าจะผ่านไปได้แต่ละจุดแทบหมดแรง ตื่นเช้าหลังอาหารเช้าแบบง่าย เราเดินทางต่อแต่ก็ไปได้เพียง 200 เมตร รถคู่ชีพเริ่มออกอาการดื้อรั้นไม่อยากลุยต่อ เพลาข้างมีปัญหา จำต้องถอยกลับออกมาตั้งหลักกันอีกครั้ง ทริปที่สองนี้จึงไปได้เพียงแค่ 700 เมตร มันเป็นระยะทางที่ต้องจดจำไว้เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ถึงจะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็มีความสุข มันเป็นความท้าท้ายความกระหายอยากใคร่รู้ใคร่เห็นว่า ออบแม่ลายนั้นมันเป็นเช่นใด ความจริงอยากจะเดินเท้าเข้าไปให้ถึงจุดหมายก่อนที่จะนำรถยนต์เข้าไปด้วยซ้ำแต่ไม่มีเวลา
ช่วงปลายเดือนเมษายนผมจึงได้มีโอกาสไปออกทริปที่นั่นอีกครั้ง ครานี้ได้เพื่อนไปกันชุดใหญ่ หวังว่าจะได้มีเพื่อนช่วยกันเคลียร์เส้นทาง พร้อมกับได้ทำกิจกรรมรดน้ำดำหัวผู้สูงวัยในกลุ่มพวกเราด้วย ทริปนี้จึงสนุกสนานเบิกบานเป็นพิเศษ รถออฟโรดร่วม 20 กว่าคัน บุกลุยหินลุยทรายไปได้ระยะทางอีกกิโลเมตรกว่าๆ ก็จำต้องถอยกลับด้วยความอ่อนแรง เหมื่อยล้าและบางคนก็เมาหนัก ส่วนผมนั้นทริปนี้ได้เดินเท้าเข้าไปจนถึงปากหุบออบแม่ลาย แต่ก็ยังถือว่ายังไม่ถึงจุดหมายที่อยู่ลึกเข้าไปอีกไม่ไกลนัก เมื่อเพื่อนวิทยุแจ้งมาว่าจะย้อนถอยกลับกันแล้ว ผมจึงกลับออกมาด้วยใจนึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
แน่นนอนผมยังไม่ยอมแพ้ ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะเปิดโลกอันซีนของหุบเขา ออบแม่ลาย ที่ซ่อนเร้นนี้ออกมาสู่สายตาชาวบ้านให้ได้ มันไม่ง่ายเหมือนที่ลุงอ้ายปลาวอดว่าไว้จริงๆ ขนาดเก่งและชำนาญทางแบบแก ยังใช้เวลาเดินเท้าเกือบค่อนวันกว่าจะถึงกลางหุบเขาแห่งนี้ได้
เปลี่ยนทางสำรวจเพื่อให้ถึงที่หมาย
หลังกลับออกจากทริปที่ 3 มา ทุกเย็นหากมีเวลาว่างผมจะเปิดแผนที่ดูเส้นทางอย่างละเอียด ทุกมุมมอง โดยการปรับหมุนแผนที่กูเกิลเอิร์ท ที่มุมสูง มุมต่ำ มุมซ้าย มุมขวา จนพบว่ายังมีอีกทางหนึ่งที่พอจะนำไปถึงออบแม่ลายที่หมายแห่งนี้ได้ โดยเข้าทางบ้านแม่หวาน แล้วลงแม่น้ำขับล่องมาตามแม่น้ำลำห้วยแม่ลายแห่งนี้ จากนั้นจึงรอคอยแต่หาวันที่จะลุยสำรวจพร้อมเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง
ในทริปที่ 4 นี้ผมได้กลุ่มอู่เอก 4×4 และกลุ่มเชียงรายแอดเวนเจอร์มาร่วมลุยสำรวจด้วย นอกจากนั้นยังได้ช่างภาพฝีมือระดับโปรมาถ่ายภาพนิ่งให้คือ คุณเอกรินทร์ นันปินตา หรือ เอกดำ ป.ประมุข ทริปนี้จึงได้ภาพสวยคมมาอวดในฉบับนี้
เช้าวันเสาร์เมื่อเพื่อนมาพร้อมหน้า เราตรวจเช็คความพร้อม ผมมาหยุดตรงรถ UTV Polaris4wd 2คันใหม่ของของเสี่ยต่อและเสี่ยต้อม แม่ริม ที่นำมาทดสอบในทริปนี้ด้วย ในกลุ่มเราล้วนบิ๊กๆ กันทั้งนั้น ส่วนเจ้าเล็กเตี้ย 2 คันนี้มันทำให้ผมไม่มั่นใจนิดๆ
เมื่อมาถึงแม่น้ำ ผมจึงบอกให้ทั้งสองคันลงไปแล้วทวนน้ำขึ้นมา ส่วนผมวกกลับขึ้นไป บนฝั่งเฝ้าดูพวกเขาขับทวนกระแสน้ำและปีนก้อนหินน้อยใหญ่ที่เป็นกับดักอยู่ ทักษะของคนขับดีอยู่แล้ว เสียงเครื่องยนต์ดังเบาในรอบต่ำ เกียร์ออโต้ ไม่ปั่นฟรี ยามอยู่บนทรายดูด และไม่กระโจนพรวดพราดตอนปีนหินขึ้นมา ดูแล้วเขามาแบบนิ่มนวลสบายๆ จนมาถึงจุดที่ผมรออยู่ เป็นอันว่าเจ้าตัวเล็กทั้งสองนั้นสอบผ่านการขับในแม่น้ำที่มีทรายร่วนดูดและโขดหินน้อยใหญ่ จะเหลือเพียงทางข้างหน้าที่เราจะต้องไปพบทางน้ำลึกและเชี่ยวเท่านั้นที่ผมยังกังวลอยู่
รถมิตซูบิชิ แกรนดิสล้อโตของกลุ่มเอก 4×4 ทะลวงเปิดเส้นทางที่เป็นพงหนามไมยราพยักษ์และป่าแขม ล้มระเนระนาด ทำให้คันที่ตามหลังมาเดินทางโดยไม่ยากเลย ส่วนเจ้าตัวเล็กทั้งสองเกาะตามท้ายพี่คันโตไปติดๆ แม้นบนริมตลิ่งจะมีแนวทางซักลากไม้ซุงสมัยก่อนสร้างเขื่อนให้เห็นอยู่ แต่เราก็ไม่สามารถใช้ทางนั้นได้ เนื่องจากมีต้นไม้และกอไผ่ขึ้นอยู่ตลอดแนวทาง
กลุ่มแนวหน้ายังคงทำหน้าที่เปิดทางไปเรื่อย ขณะที่ขบวนหยุดนิ่งทุกคนต่างรีบเดินไปข้างเพื่อช่วยกันเคลียร์เส้นทาง ที่มีทั้งไม้ซุงที่ไหลมาตามน้ำขวางทางและหินก้อนโต ที่เราต้องช่วยกันวินช์ออกให้พอเป็นช่องทางเล็กๆ พอที่รถจะผ่านไปได้เท่านั้น บางจุดก็มีหินมากเกินกำลังวินช์ ซึ่งเราก็ต้องปีนขึ้นตลิ่งชันเพื่ออ้อมตีนเขาไปให้พ้นจุดแก่งหินเหล่านั้น เพราะเหตุนี้ เวลา 3 ชั่วโมงที่ผ่านไป เราจึงผ่านทางไปได้แค่กิโลเมตรกว่าเอง เป็นระยะทางสั้นที่ทั้งมันส์และแสนเหนื่อย จุดในสุดมีก้อนหินน้อยใหญ่ถูกกระแสน้ำพัดมากองกระจายไปทั่ว ดูแล้วยากเกินไปสำหรับวันนี้
บ่ายสี่โมงกว่า เมฆฝนดำทะมึนตั้งเค้าอยู่หุบเขา เป็นสัญญาณบอกให้พวกเรารีบหาที่ตั้งแค้มป์พักแรม สายฝนโปรยปรายลงมาดับความร้อนจากไอแดดอันระอุ เพื่อนบางคนยังไม่ยอมเข้าไปหลบในที่ร่ม ยังคงนั่งแช่น้ำเล่นน้ำกันไปตามใจชอบ ทรายหาดที่ทอดยาวกลางลำห้วยที่มีสายน้ำไหลผ่านให้เราได้กางเต้นท์นอนกันอย่างสบาย แม้นว่าฝนจะตกแต่ก็มั่นใจว่าคงไม่เกิดน้ำป่าไหลหลากแน่นอน เพราะนี่เป็นเพียงฝนห่าเล็กและต้นฤดูด้วย บรรยากาศค่ำคืนบนหาดทรายริมธารน้ำกลางป่าใกล้เมือง ไม่แตกต่างจากป่าใหญ่ที่ใดๆ ที่ผมเคยผ่านมา ความสงบของผืนป่ายังคงเป็นป่า แม้นจะไม่ห่างจากตัวเมืองมากนัก ใกล้รุ่งสางมีเสียงไก่ป่าขันแข่งกับเสียงร้องขับขานของนกกระทาป่าที่หาฟังได้ยากมากแล้ว
รุ่งเช้าวันใหม่เราตัดสินใจกันว่าจะออกไปที่ถนนใหญ่เส้นทางหลวง 118 เพื่อไปบ้านแม่หวานเพื่อหาทางเข้าล่องมาตามสายน้ำ เพราะเราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเข้าไปให้ถึงจุดที่แคบที่สุดของหุบเขาแห่งนี้ที่เรียกว่า ออบแม่ลาย เลี้ยวซ้ายจากทางหลวงผ่านสวนมะม่วงรกร้างไปไม่ไกล เราก็พบจุดลงลำห้วย เป็นทางที่ชาวบ้านเดินทางไปหาปลาและของป่า บางช่วงเป็นสายน้ำโล่ง บางจุดเป็นโขดหินที่พอที่เราจะผ่านไปได้ สายน้ำด้านทิศเหนือน้ำไม่ลึกและทรายใต้แม่น้ำก็ไม่ร่วนลึกจนเกินไป ทำให้เราเดินรถได้อย่างไม่มีปัญหา
ภาระหนักของทางเหนือน้ำนี้คงเป็นเรื่องพงหญ้าแขมและป่าดงกอต้นอ้อที่รกหนาซะมากกว่า มันหนาเสียจนมองไม่เห็นพื้น เราต้องเดินรถแบบค่อยๆคืบคานไปข้างหน้าเพราะเกรงว่าจะไปชนตอไม้หรือก้อนหินใหญ่ที่ซุกฝังตัวอยู่ในพงหญ้าเหล่านั้น ระยะทางช่วงเช้าเราสามารถผ่านมาได้ถึงเกือบ 3 กิโลเมตร นับว่าเราประสบความสำเร็จไปเกือบ70%แล้ว เหลือระยะทางอีกไม่เกิน 2 กิโลเมตรเราก็จะถึงออบแม่ลายเป้าหมายของเราแล้ว
ตลอดการเดินทางผมนึกถึงเส้นทางคลองมะเดื่อที่เลื่องชื่อของ จ.นครนายกที่หลายคนกล่าวถึง ที่นั่นกว่าจะไปถึงคงต้องใช้เวลาเดินทางมากเอาการ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับลำห้วยแม่ลายแห่งนี้แล้ว ผมคนเชียงใหม่กลับรู้สึกว่าช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ ที่เรามีเส้นทางมากมายให้เล่นให้เที่ยว ไม่ต้องเดินทางไกลๆเหมือนคนออฟโรดจากเมืองหลวง
สายน้ำแม่ลาย ป่าแม่หวาน สันเขาที่เริ่มออบแคบ ช่องเขาที่เริ่มบีบแคบ ฝั่งที่สุงชัน ทำให้การเดินรถเริ่มยากเข้าไปทุกที ทริปแบบนี้เราไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะไปให้ถึงจุดหมายภายในทริปเดียว ดังนั้นเราจึงมีความผ่อนคลายในการท่องเที่ยวมากว่าที่อื่น เพื่อนในกลุ่มขับลุยกันไปตั้งวงกันไปหยุดเป็นระยะๆ จึงมีความสุขมากกว่าความเหน็ดเหนื่อย
จนมาถึงจุดที่มีหินใหญ่ขวางทางอยู่ ขวาหินใหญ่ ซ้ายวังน้ำวนลึกเกิน หมดทางเบี่ยง เรื่องเสี่ยงเอารถไปจมน้ำถูกพับไว้ เวลาที่เหลือเราจึงดำผุดดำว่ายเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานเบิกบานหัวใจ แม้นว่าเราจะไปยังไม่ถึงจุดหมายที่ตั้งไว้ แต่ทุกคืบศอกที่เราผ่านมานั้นมันคุ้มค่ากับการเดินทางเกินกว่าที่เราหวังไว้ ป่าไม้ที่สวยงาม สายน้ำที่ใสสะอาดจนมองเห็นพื้นทรายที่มีปลาน้อยใหญ่เวียนว่ายไปมาน่ารื่นรมย์
ในอนาคตเส้นทางออบแม่ลายแห่งสายน้ำนี้คงเป็นสถานที่พักผ่อนที่ขึ้นชื่อของชาวออฟโรดไปอีกนาน ดังนั้นจึงขอฝากเพื่อนช่วยกันอนุรักษ์รักษาธรรมชาติไว้ด้วยครับ
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.