อุ่นนี้เพื่อน้องปี 7 ฝ่าลมหนาว สู่ทะเลขุนเขาที่ขุนน้ำจอน จ.น่าน กับพนาไพรออฟโรด

ทุกวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม หลังจากที่มีการจัดงานรื่นเริงปีใหม่แล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่า ถึงคราวของเด็กๆ จะได้มีความสุขในวันของพวกเขาบ้าง ซึ่งทุกคนย่อมเคยผ่านชีวิตในวันเด็กมาแล้ว เชื่อว่าหากทุกคนเคยมีความสุขในวันเด็กอย่างไร ลูกๆ หลานๆ ก็ต้องมีความสุขในวันเด็กของทุกๆ ปีแน่นอน ซึ่งแม้จะจัดเพียงปีละครั้ง แต่การที่เด็กๆ ได้มีวันแห่งความสุขของตัวเอง ย่อมทำให้เกิดผลดี และอาจเป็นแนวทางที่ชี้ให้พวกเขาเห็นสิ่งดีๆ และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคตข้างหน้า
ในแต่ละปี เด็กๆ จะได้คำขวัญจากนายกรัฐมนตรีของไทย แต่ละปีจะแตกต่างกันไป ก่อนหน้านั้นประเทศไทยมีการจัดงานวันเด็กครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2498 โดยใช้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม ต่อมาในปี พ.ศ.2506 ได้เปลี่ยนมาเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม โดยเริ่มครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2508 จนถึงปัจจุบัน
สำหรับปีนี้ คำขวัญวันเด็กจากนายกรัฐมนตรีก็คือ “รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี”
และที่สำคัญคล้ายกับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับชาวออฟโรดแทบทุกกลุ่ม ทุกชมรมทั่วประเทศ ที่พวกเขาเหล่านั้นจะให้ความสำคัญกับเด็กซึ่งจะกลายเป็นอนาคตของชาติเป็นอันดับต้นๆ โดยพุ่งเป้าไปที่เด็กซึ่งอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารและห่างไกลความเจริญ หรือตามดงดอยและป่าเขา ซึ่งในวันดังกล่าวจึงคร่าคร่ำไปด้วยออฟโรดชน ที่ต่างไปร่วมกันทำกิจกรรมคืนความสุขและสร้างรอยยิ้มให้กับเด็กๆ เหล่านั้นกันอย่างคึกคัก
พนาไพร เอ้าท์ดอร์ ออฟโรด ก็เป็นหนึ่งในชมรมดังกล่าว ที่ให้ความสำคัญกับวันเด็กแห่งชาติ หลังจากที่มีการจัดตั้งเป็นชมรมรวมตัวกันท่องเที่ยวตามป่าเขาลำเนาไพร แลกเปลี่ยนประสบการณ์ตามประสาคนคอเดียวกัน และสิ่งที่ชมรมให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ กิจกรรมต่างๆ เพื่องานสาธารณกุศล ช่วยเหลือสังคมในถิ่นทุรกันดารและห่างไกลความเจริญ สำหรับวันเด็กในปีนี้ พวกเขารวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน จนมียอดรถเกือบๆ 40 คัน ทั้งจากสมาชิกของพนาไพรเองและเพื่อนพ้อง เดินทางไกลขึ้นเหนือไปปีนป่ายตะกายสู่ดอยสูง จัดกิจกรรม “อุ่นนี้เพื่อน้องปี 7” ที่โรงเรียนบ้านสว้าสาขาห้องเรียนบ้านขุนน้ำจอน ต.ดงพญา อ.บ่อกลือ จ.น่าน ท่ามกลางอากาศที่แปรปวน และเส้นทางที่ทุรกันดารเพิ่มความยากลำบากขึ้น รวมทั้งอุณหภูมิที่ลดลงอย่างฮวบฮาบเหลือเพียงแค่ 5 องศาเซลเซียสเท่านั้น

ทริปนี้ทางนิตยสารออฟโรดได้มีโอกาสเดินทางร่วมขบวนไปกับเขาด้วย โดยติดไปกับรถของ มณทล ผาดศรี แห่ง MT เจริญยนต์ เจ้าของเต็นท์รถบรรทุกมือสองใน อ.สามโคก รวมทั้ง ชวลิต ฟักแก้ว พิธีกรชื่อดัง กับ วินิจ วาสยศ แห่งไฮวินซ์ ก็เดินทางไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย
เราออกเดินทางจากปทุมธานีในช่วงเที่ยงวัน ถึงน่านเอาเมื่อเกือบสี่ทุ่มจึงแวะนอนเอาเรี่ยวแรงตุนไว้ก่อนที่จะเดินทางสู่เส้นทางลอยฟ้าในวันรุ่งขึ้น โดยมี ดนัย ปัญญานะ นักแข่งชื่อดังของภาคเหนือคอยให้การต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว
กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นเราจึงเดินทางจากเมืองน่าน โดยเลือกใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1080 ท่าวังผา–ปัว ไปสมทบกับคณะใหญ่ที่ปัว และออกเดินทางกันต่อไปตามทางหลวงหมายเลข 1256 หรือปัว–บ่อเกลือ ไต่ระดับความสูงของเทือกเขาดอยภูคาเป็ยยอดเขาที่สูงที่สุดของน่าน สูงราว 1,980 เมตร จากระดับน้ำทะเล ฝนหลงฤดูยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้ด้วยหมอกหนาที่โรยตัวปกคลุมไปทั่วขุนเขาแม้จะเข้าสู่เที่ยงวันแล้วก็ตาม ขบวนของเราค่อยๆ ขับฝ่าม่านหมอกหนาลงไปสู่ อ.บ่อเกลือด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากรถส่วนใหญ่ใช้ยางประเภท Mud –Terrian แทบทั้งสิ้น จึงไม่ค่อยถูกกับถนนแบบ On Road สักเท่าไร จากหน้ายางที่สัมผัสผิวถนนที่น้อยกว่ายางแบบ On Terrian
จากแยกบ่อเกลือเราขับต่อไปทาง อ.เฉลิมพระเกียรติอีกราว 10 กิโลเมตร ก็ถึงโรงเรียนบ้านสว้า ปากทางเข้าสู่บ้านขุนน้ำจอน ถึงตรงนี้ขบวนแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นขบวนใหญ่เกือบๆ 30 คัน มีครูแบงค์ (ธนการ)เจ้าของพื้นที่ ขับพาไปเข้าทางบ้านบ่อหยวก โดยผ่านบ้านน้ำจูน บ้านห้วยลั๊วะ เป็นทางออฟโรดประมาณ 6-7 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางนี้จะลำบากอยู่ในช่วง 3 กิโลเมตรสุดท้าย ที่มีทั้งลำห้วยและทางขึ้นเขาที่ลาดชัน ประกอบกับฝนเพิ่งตกมาเมื่อกลางดึก เส้นทางจึงลื่นอย่างวายร้าย บวกกับจำนวนรถที่เยอะ ทำให้ใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนานกว่าปกติ
ผิดกับขบวนหลัง ที่มีรถแค่ 5 คัน ซึ่งผมก็นั่งมาในชุดนี้ด้วย เราเดินทางเข้าทางด้านบ้านปางกบ โดยผ่านบ้านป่ากำ ที่เพิ่งมีการปรับเส้นทางใหม่เพื่อรับเสด็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทางค่อนข้างกว้างและเรียบ แต่อิทธิฝนของฝนที่ทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ ก็เล่นเอามือไม้สั่นไปตามๆ กัน เมื่อต้องขับลัดเลาะไปตามเหลี่ยมเขาที่ลาดชันและลื่นจากหน้าดินเงาวาววับ แม้ว่าระยะทางออฟโรดจะไกลกว่าเส้นทางแรก แต่บ่ายแก่ๆ เราก็เดินทางมาทันชุดแรกที่บ้านขุนน้ำจอนที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางสายหมอก โดยที่ยังมีรถอีกหลายคันติดค้างอยู่ที่เนินก่อนถึงหมู่บ้านด้านบนอีกเกือบ 10 คัน

 

ครั้นถึงโรงเรียนต่างนำสิ่งของต่างๆ ไปลงที่โรงเรียน และจัดสถานที่เตรียมงานกันอย่างขมักขะเม้น ก่อนจะแยกย้ายจัดเตรียมสถานที่กางเต็นท์พักแรมกันบริเวณที่ราบต่างๆ ในหมู่บ้านที่มีอยู่แค่ 19 หลังคาเรือน และมีชาวบ้านอาศัยอยู่ประมาณ 100 กว่าคน บางส่วนก็ขอเข้าไปอาศัยนอนในบ้านของชาวบ้านขุนน้ำจอน ซึ่งชาวบ้านก็ให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีด้วยความอารีย์ตามประสาคนดอย
ตกเย็นอากาศที่หนาวอยู่แล้วเริ่มลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว แค่หัวค่ำก็ลดลงจนเหลือเพียงเลขตัวเดียว ค่ำคืนนี้ยังไม่มีกิจกรรมอะไรมากนัก มีการทำอาหารว่างเบาๆ แจกจ่ายเด็กและชาวบ้านที่มานั่งดูหนังของพนาไพรที่ลานกลางแจ้งของโรงเรียนเท่านั้น

กระทั่งเช้าวันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2561 วันนี้ มีการจัดกิจกรรมเต็มรูปแบบในช่วงเช้า ตั้งแต่ทำอาหารเลี้ยงเด็กๆ และชาวบ้าน การเข้าแถวเคารพธงชาติ การออกกำลังกาย และการเล่นเกมส์ตามซุ้มต่างๆ เกือบ 10 ซุ้ม และการแจกของให้กับเด็กนักเรียนทั้ง 42 คนและชาวบ้านขุนน้ำจอนและบ้านห้วยลั๊วะที่ตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก รวมทั้งมอบสิ่งของต่างๆ จากผู้ให้การสนับสนุนกับโรงเรียน
ตลอดทั้งวันเหล่าสมาชิกและเด็กๆ ร่วมทำกิจกรรมกันอย่างสนุกสนาน สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้เด็กๆ ปิดท้ายค่ำคืนอันหนาวเหน็บ แต่อบอุ่นด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพบนดอยสูง แถมมีการเซอร์ไพร์สเล็กๆ จากสมาชิกในกลุ่มที่ขอแฟนสาวแต่งงานท่ามกลางสักขีพยานของสมาชิกพนาไพร เด็กๆ และชาวบ้านขุนน้ำจอน ก่อนจะมีการแจกทุนการศึกษาให้กับเด็กๆ ทุกคนเป็นปิดท้ายกิจกรรมครั้งนี้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ความเป็นอยู่ของเด็กที่นี่แตกต่างจากเด็กทั่วไป ในพื้นราบราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งโอกาสทางการศึกษาที่มีอยู่น้อย โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่โรงเรียนบ้านขุนน้ำจอน คั้งแต่ ป.3-ป.6 ทุกวันอาทิตย์ต้องเดินเท้าจากบ้านมาที่โรงเรียน และเย็นวันศุกร์ก็จะเดินเท้ากลับบ้าน ไป-กลับแบบนี้ ครั้งละเกือบ 10 กิโลเมตร และด้วยว่าการอาศัยอยู่บนดอยสูง ข้าวปลาอาหารต่างๆ ต้องอาศัยการเดินทางลงจากเขาไปเอาขึ้นมาจากด้านล่าง

คณะทะยอยเดินทางกลับในช่วงสายๆ ของวันอาทิตย์ หลังจากจบภารกิจในการร่วมกันจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ที่โรงเรียนบ้านขุนน้ำจอน และทั้งหมดนั่นคือ ภาพรวมของการจัดงาน “อุ่นนี้เพื่อน้องปี 7” ของชมรมพนาไพร เอ้าท์ดอร์ ออฟโรด และพ้องเพื่อน ถือเป็นการคืนความสุขอย่างยั่งยืนให้กับเด็กๆ ที่ด้อยโอกาสและอาศัยอยู่ห่างไกลความเจริญในดินแดนที่เรียกได้ว่าไกลปืนเที่ยง ทุกคนต่างเชื่อมั่นว่า การได้แบ่งปันน้ำจิตน้ำใจ การได้เห็นเด็กๆ มีวันแห่งความสุขของตัวเอง ย่อมจะเป็นแนวทางที่ชี้ให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคตข้างหน้า และที่สำคัญรอยยิ้มเล็กๆ ของเด็กและชาวบ้านเหล่านั้น ราวกับโอสถขนานเอก ที่สร้างความสุขและชุ่มชื่นใจให้กับเหล่าสมาชิกทุกคน

จิตรกร  ถาวร เรื่อง/ภาพ

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    Cookies Details

Save