ผมได้มีโอกาสเข้าไปลุยเส้นทางลูกรังในประเทศออสเตรเลียกว่า 4,000 กม.กับกองทัพรถออฟโรด ที่ไปทำหน้าที่เซอร์วิสรถแข่งในรายการ Australasian Safari 20114 ครั้งนีัเราจะไม่คุยกันเรื่องแข่งรถ แต่จะเล่าเรื่องการเดินทางและความเป็นอยู่ในทะเลทรายและป่า Outback ตลอด 10 วันเรานอนกลางดินกินกลางทรายกันอย่างไร
เมื่อมาถึงออสเตรเลียสัมผัสแรกคือความเจริญรุ่งเรืองในเมืองใหญ่อย่างเพิร์ธ ชีวิตผู้คนที่มีความเป็นอยู่ที่ดีมาก ถนนหนทางสะดวกสบายรถไม่ติดเหมือนบ้านเรา แต่ว่าค่าครองชีพแม่เจ้าโว้ยมันสูงลิบลิ่ว เอาเป็นว่าน้ำขวดละ 3 เหรียญหรือราว ๆ 100 บาท ผักคะน้า กก.ละ 400 บาท แพงกว่าเนื้อสัตว์ซะอีก ถามคุณตุ๊กแก คนไทยที่อยู่ในเมืองนี้ บอกว่า ประเทศออสเตรเลียกว้างใหญ่ไพศาลก็จริง แต่ขาดแคลนน้ำเพาะปลูกผักและผลไม้ บ้างครั้งรัฐบาลยังต้องประกาศห้ามล้างรถเพื่อจะเก็บน้ำไว้ใช้ให้เพียงพอต่อประชากร มิน่าล่ะผักต่าง ๆถึงได้แพงกว่าเนื้อหมูเนื้อวัว
การเดินทางเข้าป่าซาฟารีหรือ Outback จำเป็นอย่างยิ่งที่รถทุกคันจะต้องมีน้ำดื่มในปริมาณที่เพียงพอกับทุก คน ถ้าเราขาดน้ำในดินแดนซาฟารีทุกชีวิตจะไม่รอดกลับไป น้ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตใน Outback ซึ่งกลาง วันแดดแรงมาก ถ้าใครไปยืนกลางแดดโดยไม่มีร่มไม้หรือขาดการป้องกันผิวจะไหม้ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่ยาม ค่ำคืนก็จะเจออากาศหนาวเย็นแค่ 10 กว่าองศา ดังนั้นชาวออฟโรดที่ออสเตรเลีย จึงเป็นติดเป็นนิสัยที่จะต้องเตรียมสัม ภาระทุกอย่างให้พร้อมกับการเดินทาง ทั้งที่หลับที่นอน น้ำดื่ม อาหารการกิน และเครื่องป้องกันภัยธรรมชาติ พายุฝุ่น ทราย ฝนตกและอากาศร้อนอากาศหนาวสลับไปสลับมาเกือบทุกวัน
ตลอด 10 วันที่กินนอนอยู่ด้วยกัน ผมดูผู้ใช้รถออฟโรด ปิคอัพ – SUV 4×4 และรถบรรทุก 6×6 ที่ประเทศ ออสเตรเลีย มันแตกต่างกับชาวออฟโรดเมืองไทย รถออฟโรดที่นั่นแต่งมาเพื่อใช้งานตามวัตถุประสงค์จริง ๆ ยางล้อใหญ่ๆดอกยาง all terain สำหรับเดินทางได้ทั้งไฮเวย์และทางลูกรังระยะทางยาว ๆเป็นพันกิโลเมตร ไม่มีหมู่ บ้านหรือเมืองที่จะจอดพักรถได้เลย วันหนึ่ง ๆเราต้องขับรถลุยทางลูกรัง 500-600 กม. แน่นอนครับ….สภาพรถทุก คันต้องเตรียมมาอย่างดีพร้อมน้ำมันสำรองที่ต้องมีเพียงพอกับจุดหมายปลายทาง ซึ่งกว่า 1,000 กม.เราจึงจะเจอปั๊มน้ำมันเล็ก ๆ และบางครั้งก็ไม่มีน้ำมันเพียงพอด้วย แผนการเดินทางและการเตรียมพร้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับเส้นทางที่พวกเราได้ไปผจญภัยมาครั้งนี้ เริ่มวันแรกจากเมืองเพิร์ธ (Perth) เดินทางยามค่ำคืนกว่า 400 กม.บนถนนลาดยางมุ่งหน้าขึ้นเหนือของภาคตะวันตกออสเตรเลีย WA (Werstern Australia) เป็นทางลาดยางทั้ง หมดนาน ๆจะมีรถบรรทุกยาว ๆที่ออสเตรเลียเรียกว่า truck train สวนทางมาบ้างเป็นระยะๆ แต่สิ่งต้องระวังมาก ที่สุดคือ ‘จิ้งโจ้’ ที่มีมากมาย เราจะเห็นรถยนต์ในออสเตรเลียใส่กันชนบูลล์บาร์เพื่อป้องกันชนกับเจ้าจิงโจ้โดยเฉพาะ กว่าจะถึงเมืองเกอรัลด์ตัน เราก็เจอกับจิ้งโจ้วิ่งข้ามทาง 4-5 จุด ส่วนมากก็ไม่ค่อยมาเดี่ยวซะด้วย ไม่มากันเป็นคู่ก็มีเป็นฝูง
วันที่สองของการเดินทางจากเมืองเกอรัลด์ตัน เข้าทางลูกรังล้วน ๆไปยังจุดพัก เมอร์ชิสัน โอเอซีส (Merchison) ระยะทางเกือบ 500 กม. เราเจอทั้งพายุฝุ่นทรายที่บางครั้งต้องจอดรถเนื่องจากมองทางไม่เห็น และต้องทิ้งระยะให้ห่าง กันพอสมควรเนื่องจากฝุ่นหนา พอตกเย็นค่ำฝนก็เทลงมาตลอดคืนต้องนอนในเต๊นท์หนาวสั่น ต้องหาจุดกางเต๊นท์ใน ร่มหลังคาอะไรก็ได้ที่พอมีที่ซุกหัวนอน บางคนก็นอนใต้ท้องรถอย่างอึดอัดเป็นค่ำคืนที่แสนจะทรมานที่ต้องจดจำกัน ไปอีกนาน และที่เมอร์ชิสัน โอเอซีส (Merchison Oasis) แห่งนี้มีเพียงแห่งเดียวในป่าซาฟารี Outback ซึ่งมีแหล่งน้ำ น้ำดื่ม น้ำอาบ ร้านกาแฟ และปั๊มน้ำมัน เลยไปกว่านี้อีกกว่า 2,000 กม.ก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้วที่นี่จึงเป็น จุดพักรถค้างแรมที่โด่งดังของนักเดินทางออฟโรดรู้จักกันดี
วันที่สามเราออกจากเมอร์ชิสันขึ้นเหนือไปจุดชุมทางแกสคอยน์ จังชั่น (Gascoyne Junction) ลุยลูกรังอย่าง เดียวกว่า 600 กม.สภาพพื้นมีเพียงแม่น้ำสายเดียวที่เหลือน้ำน้อยที่สุด นอกนั้นเป็นทะเลทรายป่าต้นไม้ห่าง ๆความสูง ไม่เกิน 5 เมตร ถนนลูกรังตัดตรง ๆยาวเป็นร้อย ๆกิโลและสามารถใช้ความเร็วได้ไม่จำกัด พอถึงจุดหมายปลายทาง ช่วงเย็นของทุกวันก็จะต้องรีบอาบน้ำเพราะถึงเวลามืดค่ำอากาศจะเริ่มหนาวเย็นอุณหภูมิราว ๆ 10 องศา
Bivouac (บิวาแวค) เป็นสถานที่เซทอัพขึ้นเพื่อเป็นที่กางเต๊นท์พักค้างแรมทุก ๆคืนกลางป่าซาฟารีและเป็น จุดเซอร์วิสรถแข่งที่เราเดินทางวันต่อวันซึ่งผู้จัดงานจะเตรียมอาหารเครื่องดื่ม ห้องอาบน้ำ ห้องสุขา ที่จะต้องเคลื่อนที่ ตามไปติดตั้งก่อนที่คณะกว่า 400 คนจะเข้ามาถึงในแต่ละวัน ซี่งที่แกสคอยน์ จังชั่น เราต้องพักที่นี่สองคืน ซึ่งในช่วง กลางวันก็จะเดินทางไปกว่า 600 กม.แล้วกลับมาพักที่เดิม
วันที่ห้าของการเดินทางจากแกสคอยน์ จังชั่น ไปยังแหลมกลางมหาสมุทรอินเดียเรียกว่า ‘เอ็กซ์เม้าท์’ (Exmouth) เราผ่านเส้นทางลูกรังกว่า 2,500 กม.สี่วันที่ผ่านพึ่งจะได้เจอกับทางลาดยางไปยังแหลมเอ็กซ์เม้าท์ และก็พักค้างคืน Bivouac 2 คืนที่เอ็กซ์เม้าท์ซึ่งเป็นจุดเหนือสุดของออสเตรเลียตะวันตก (WA) สวรรค์ของคนชอบ ตกปลาในมหาสมุทรอินเดีย
วันที่เจ็ดของการเดินทางจาก เอ็กซ์เม้าท์ ไปยังเมืองคาร์นาร์วอน (Carnarvon) ชึ่งเป็นเส้นทางที่เลาะชายฝั่งมหา สมุทรอินเดียจากเหนือลงใต้ สภาพพื้นที่ยังคงเป็นทะเลทรายซาฟารี ไม่ค่อยจะมีต้นไม้ให้เห็นมากนักบางจุดก็เป็นพื้นที่ เลี้ยงวัวกลางป่าซาฟารีที่ไม่ต่างจากเส้นทางที่เราผ่านมาหลายวันก่อนหน้านี้
วันที่แปดของการแข่งขันจาก คาร์นาร์วอน ไปยังเมืองคาลบาร์รี (Kalbarri) ซึ่งเป็นจดสิ้นสุดการแข่งขัน Australasian Safari เป็นเมืองริมทะเลชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเมืองนี้เป็นที่เดียวที่สามารถปลูกผลไม้ กล้วย มะ ม่วง มะละกอ ฯลฯ ซึ่งหลังจากจบการแข่งขันแล้วพักค้างคืน Bivouac เป็นคืนสุดท้าย ซึ่งช่วงหัวค่ำก็มีงานเลี้ยงมอบรางวัล พอรุ่งเช้าวันต่อมาเราก็ต้องแยกย้าย เซย์กู๊ดบายลาจากกัน เดินทางกลับไปยังเมืองเกอรัลด์ตันแล้วมุ่งหน้า ลงตะวันตกกลับไปยังเมืองเพิร์ธ ขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับกรุงเทพฯ
เรียบเรียงข้อมูลโดย นิตยสาร ออฟโรด : www.grandprix.co.th/offroadmagazine
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ไดที่ www.grandprix.co.th
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.