ฝนมาฟ้าเปลี่ยน…บนเส้นทางลอยฟ้าที่บ้านนาเหลือง จ.น่าน Season Change…On the way of “Baan Naa Loeng”
ทิ้งช่วงมาไม่นานจากเมื่อคราวเดินทางเข้าไปที่บ่อหอย ผมได้มีโอกาสเดินทางร่วมกับคณะเดิมนั่นก็คือ ชมรมน้ำน่านออฟโรด กับชมรมแก่งเสือเต้น จ.แพร่ อีกครั้ง เพียงแค่ปรับเปลี่ยนสถานที่ใหม่ และขยับเวลามาเป็นช่วงต้นเดือนตุลาคม และจำนวนรถน้อยกว่าเดิม แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่า จะเปลี่ยนไปก็คือ มิตรภาพของทั้งสองชมรมดูเหนียวแน่นขึ้น หลังจากรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี จากได้มีโอกาสเดินทางร่วมกันบ่อยๆ
ครั้งนี้เราไม่ได้นัดหมายกันเป็นจริงเป็นจังเท่าไรนัก แต่เนื่องจากภารกิจของผมที่รออยู่ข้างหน้า กับการนำขบวน Hilux Vigo King Of Off Road ผ่านเส้นทางนี้ ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2557 (ถึงตอนนี้ก็เดินทางผ่านไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากฝนกระหน่ำอย่างหนักในวันเดินทาง จนต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางใหม่) แต่จากการประสานงานของ ไก่ หรือ ดนัย ปัญญานะ ก็มีรถร่วมเดินทางมากถึง 12 คัน ทั้งจาก ชมรมน้ำน่านออฟโรด ชมรมแก่งเสือเต้น และชมรมร้อยดอย
ก่อนหน้าวันเดินทางจริงผมพร้อมทีมงานทดลองใช้รถสแตนดาร์ดจากโรงงานเดิมๆ โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงเศษๆ จุดไหนที่ยากก็ใช้วิธีการหลบเลี่ยงเอา แต่ก็ไม่วายไปจมอยู่ในลำห้วยที่เป็นทราย ต้องตามรถไปวินช์กันวุ่นวาย แต่จุดอื่น Hilux Vigo Champ ไม่มีปัญหา ผ่านไปได้สบายๆ
ทำให้เบาใจได้ว่า รถที่ผ่านการโมดิฟายมาเป็นอย่างดี ติดอาวุธครบๆ ไม่น่าจะมีปัญหาเท่าไร สำหรับเส้นทางบ้านนาเหลืองม่วงขวา ผืนป่าชุมชนที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากชาวบ้านใน ต.นาเหลือง
เส้นทางบ้านนาเหลืองม่วงขวา ที่ตั้งอยู่ใน ต.น้ำแก่น อ.ภูเพียง ห่างจากตัวเมืองน่านมาไม่ถึง 30 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่เกิดจากการขุดของชาวบ้าน เข้าไปยังเรือกสวนไร่นาด้านใน แต่ตามเทือกเขาสูงอันลาดชัน ก็ยังพอมีความชะอุ่มของเรือนไม้ใหญ่ให้ความร่มเย็นครึ้มและพักทอดสายตาอยู่บ้างพอสมควร ในอดีตป่าแถวนี้ถือว่าสมบูรณ์มาก แต่หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยล่มสลายไปแล้ว ก็มีการจับจองพื้นที่ทำมาหากิน ป่าถูกหักร้างถางพงจนลดลงไปอย่างน่าใจหาย หากเราขับรถผ่านเส้นทางสายยุทธศาสตร์ น่าน-ภูเพียง-แม่จริม-สันติสุข-เฉลิมพระเกียรติ จะเห็นเทือกเขาล้วนโล่งเตียนกลายเป็นเขาหัวโล้นเกือบทั้งหมด
ไหนๆ ก็พูดถึง พคท.แล้ว ก็ขอย้อนอดีตเรื่องนี้สักหน่อย เพราะเกี่ยวพันกับพื้นที่ในเขตนี้โดยตรง สมัยที่คอมมิวนิสต์ยังเฟื่องฟู หรือราวปี พ.ศ.2504 ได้มีการจัดตั้งฐานปฏิบัติการขึ้นที่บ้านน้ำเพียง เมืองไซ แขวงอุดมไชย ในเขตประเทศลาว เรียกว่าสำนัก 30 เป็นฐานในการปลุกระดมมวลชน จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ และโรงเรียนพลพรรคต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกาขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ.2508 –2509 ได้ยุบสำนัก 30 และจัดตั้งสำนัก 95 ควบคุมการปฏิบัติงานของ พคท. ในเขต จ.เชียงราย จ.น่าน และเขตรอยต่อกับพิษณุโลก–เพชรบูรณ์–เลย โดยส่งกำลังเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการที่บ้านผาแดง อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน และเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2510 ได้ทำการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่เป็นครั้งแรก ที่บ้านน้ำปาน ต.นาไร่หลวง อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน จึงนับได้ว่าเหตุการณ์ในวันเป็นวัน “ เสียงปืนแตก ” ของภาคเหนือ และใน พ.ศ. 2519 พคท. ได้ย้ายศูนย์การนำสูงสุดไปตั้งอยู่ที่ ภูพยัคฆ์ จ.น่าน และจัดตั้งฐานที่มั่นในภาคเหนือได้ 9 แห่ง ฐานสำคัญๆ ที่ จ.น่าน นี้ก็ได้แก่ ฐานที่มั่นดอยผาจิ ฐานที่มั่นภูพยัคฆ์ อ.ปัว และ ฐานที่มั่นภูสามเหลี่ยม อ.แม่จริม จ.น่าน ซึ่งก็รวมถึงพื้นป่าอันเป็นเส้นทางที่เรากำลังจะเดินทางไปในครั้งนี้ที่อยู่ในป่ารอยต่อระหว่าง อ.ภูเพียง กับ อ.แม่จริม
นับตั้งแต่วันเสียงปืนแตก รัฐบาลจึงเข้าทำการปราบปรามอย่างจริงจัง ตั้งแต่เดือนเมษายน 2514 เป็นต้นมา เพื่อทำลายกองกำลังติดอาวุธของผกค. จนถึงปลายปี พ.ศ.2523 ได้ปฏิบัติตามคำสั่งนโยบายที่ 66/23 ตามแผนการใช้กำลังสนับสนุน ผลักดันการเมืองเพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์เป็นการปฏิบัติในรูปแบบของกองทัพแห่งชาติ จนสามารถทำลายฐานที่มั่นต่างๆ ของ ผกค. ที่มีอยู่ในป่าเขาได้ทั้งหมด โดยใช้ยุทธการต่างๆ มากมาย เช่น ยุทธการประสบโชค ยุทธการน่านเกรียงไกร ยุทธการสุริยพงษ์ 1-5 และยุทธการธารีฉัตร เป็นต้น และทำให้น่านร่มเย็นและสงบสุขตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2526 เป็นต้นมา
ทริปนี้เราเริ่มต้นรวมตัวกันที่บริเวณพระธาตุแช่แห้ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองน่าน จากนั้นก็เคลื่อนตัวผ่าน อ.ภูเพียง สู่ ต.นาเหลือง ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงปากทางเข้าสู่โบราณสถานสันม่อนถ้ำและอ่างห้วยฝ้า ซึ่งก็คือ ปากทางเข้าสู่เส้นทางออฟโรดด้วย เคลื่อนตัวผ่านเรือกสวนไร่นาของชาวบ้านขับกินลมชมวิวแบบสบายๆ ก่อนจะแวะพักรวมตัวกันที่อ่างห้วยฝ้า รอรถชุดหลังตามมาสมทบ
เส้นทางจากอ่างห้วยฝ้านี้ จะค่อยๆ ไต่วกไปวนมาขึ้นสันดอยไปเรื่อยๆ มีจุดดักสำคัญๆ อยู่ 2 แห่งด้วยกัน เป็นช่องเขาแคบๆ เกือบพอดีรถ สูงชันและยาวประมาณ 100 เมตร เป็นช่องที่เรียกได้ว่าต้องขับรถไปแบบตะแคงๆ เนื่องจากเป็นเนินเอียง เอียงจนกระจกด้านคนขับแทบจะถูไปกับไหล่ทางเลยทีเดียว แต่ทุกคันก็ผ่านกันไปได้โดยไม่ยากเย็นนัก ไม่เกินสองชั่วโมงก็ทะลุออกจากผืนป่าใหญ่ ลงจากเนินอันลาดชันของขุนเขา สู่ไร่ข้าวโพดของชาวบ้าน และแวะทานอาหารที่กระต็อบกลางไร่ข้าวโพดของพ่อหลวงสวิง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลนาเหลือง ซึ่งทำหน้าที่เป็นไกด์ในการนำทางมาด้วยในครั้งนี้
อิ่มท้องแล้วก็พิรี้พิไรกันตามสบาย เพราะจากจุดนี้ใช้เวลาเดินทางอีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ก็น่าจะทะลุออกสู่ทางเส้นหลักสาย ภูเพียง-แม่จริม
เส้นทางค่อยๆ ลาดต่ำลงสู่หุบเขาด้านล่างลงมาเรื่อยๆ นี่ถ้าฝนตกน่าจะสนุก เพราะดูสภาพความชันและดินซึ่งเป็นดินแดง ถ้าฝนชโลมเสียหน่อย มันก็คือ ดินหนังหมูดีๆ นี่เองทางจะมาบรรจบกับลำห้วยด้านล่าง ซึ่งเป็นลำห้วยเล็กๆ (จุดที่ผมมาติดเมื่อวานนี่เอง) พอมีน้ำให้ได้ขับเล่นเย็นๆ ใจ เราขับวกไปเวียนมาอยู่ในลำห้วยซึ่งค่อนข้างยาวและรกทึบ มีต้นไม้ล้มขวางอยู่เป็นช่วงๆ ก็ช่วยกันกันวินช์ช่วยกันถาง จนโล่งเตียน
แต่แล้วฟ้าที่โปร่งใสตั้งแต่เมื่อเช้า เริ่มดำทะมึนขึ้นทันที ชั่วไม่นานก็พิโรธตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ในขณะที่รถทั้งขบวนยังวิ่งอยู่ในล้ำห้วย สร้างปัญหาให้กับคณะทันที เนื่องจากทางขึ้นจากลำห้วย จากที่แห้งๆ กลายเป็นทางน้ำเล็กๆ และลื่นอย่างไม่เอาใคร แต่ทุกคันก็พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ทั้งหมด
และเมื่อฝนมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยน…แม้แต่เส้นทางที่มองว่าง่ายๆ กลายเป็นงานช้างขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเราเพิ่งผ่านมาได้อีกครึ่งทาง และครึ่งทางที่เหลือต้องขับผ่านเนินเขาที่สูงชันอีกไม่ต่ำกว่า 3-4 ลูก และแต่ละเนินนั้น หากไม่ใช่ยางมีบั้งอย่างตะขาบหรือ SIMEX ยาง MUD TERRIAN ทั่วไปหมดสิทธิ์ขึ้นจริงๆ เพราะปั่นเท่าไรรถก็นิ่งอยู่กับที่
ทั้งเชือกลาก ทั้งสลิงของรถแต่ละคัน ถูกนำมาเรียงต่อกันจนยาวเหยียด เนื่องจากไม่มีหลักหรือต้นไม้ใหญ่ให้วินช์ ต้องให้รถตัวแรงของ ศุภกิจ ตรีจัย ขึ้นไปอยู่บนยอดเนิน จอดตั้งเป็นหลักวินช์จากนั้นก็ค่อยๆ วินช์รถขึ้นไปทีละคัน จากเนินแรกสู่เนินที่สอง จากบ่ายๆ จนพลบค่ำ จากเนินแต่ละเนินฝนไม่ตก Hilux Vigo Champ ใช้เวลาไม่เกิน 3-4 นาที แต่ตอนนี้แต่ละเนินใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง
สุดท้ายเพื่อไม่ให้ดึกเกินไปทางพ่อหลวงสวิง บอกให้นำรถเล็กออกไปอีกด้านหนึ่ง ซึ่งทางจะง่ายกว่า ผมแอบนึกในใจ เมื่อเช้าคิดถูกแล้วที่ไม่เอา Hilux Vigo Champ เข้ามาด้วย ไม่อย่างนั้นเป็นภาระให้กับขบวนเขาด้วย เพราะไม่ใช่แค่หลุดขึ้นเนินมาแล้วจะหมดอุปสรรค เพราะจากเดิมจะต้องขึ้นเนินเขาอีหนึ่งลูกและเป็นจุดที่ยากที่สุดของเส้นทาง แต่พ่อหลวงสวิงไม่อยากให้เสียเวลา เลยพาขับรถเลาะไปตามชายเขา ถึงแม้จะมืดแต่ลองเอาไฟฉายส่องลงไป ใจหายแว้ว…เพราะมันเป็นเหวล้วนๆ เป็นช่วงที่บีบรัดหัวใจผู้ขับมากที่สุด กว่าจะหลุดมาได้ทั้งหมดเวลาก็ปีนป่ายไปเกือบสามทุ่ม
นี่แหละหน่า…ฝนมา ฟ้าเปลี่ยน จากทางง่ายๆ กลับกลายเป็นงานยากชั่วพริบตา ไม่อยากคิดจริงๆ ถ้าช่วงขบวน Hilux Vigo Champ King Of Off Road เดินทางมาแล้วเจอฝนเช่นนี้ สมรรถนะของรถนั้นเหลือๆ อยู่แล้ว แต่รองเท้าเดิมๆ ที่แต่คันใส่นี่สิ นึกภาพไม่ออกจริงๆ ครับ…ว่าจะเล่นสกีบกกันท่าไหนดี
เรียบเรียงข้อมูลโดย นิตยสาร ออฟโรด : www.grandprix.co.th/offroadmagazine
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ไดที่ www.grandprix.co.th
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.