ผจญภัยไร้ขีดจำกัดที่…หินขาว จ.ระนอง
หินขาว ตั้งอยู่ในพื้นที่กลางป่าของ ต.กะเปอร์ อ.กะเปอร์ จ.ระนอง ชื่อมันอาจจะพ้องกับ หินขาว หรือ มอหินขาว ที่ จ.ชัยภูมิ โดยบังเอิญ แต่สภาพภูมิประเทศนั้นมันแตกต่างกันสุดขั้ว ที่มอหินขาว จ.ชัยภูมิ มีแต่หินรูปร่างแปลกตาจนเป็นหนึ่งใน UNSEEN THAILAND แต่หินขาว จ.ระนองนั้น มันมีแต่โคลนล้วนๆ
และนั่นก็คือ สิ่งท้าทายพวกเราชาวออฟโรดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในเรื่องของดินโคลน ความดิบเถื่อนของผืนป่าอันสมบูรณ์ ที่ตั้งอยู่ในแนวเดียวกับป่าพะโต๊ะ ดังนั้นเมื่อฤดูฝนมาเยือน พวกเรา ผมหมายถึงสมาชิกออฟโรดจาก จ.สุราษฎร์ธานี, ระนอง และเพื่อนพ้องจากกรุงเทพฯ ที่ชื่นชอบในการเดินทางท่องป่าและการแรมคืนกลางไพรพฤกษ์ จึงมีการนัดแนะรวมตัวเฉพาะกิจอีกครั้ง หลังจากมีการพูดคุยถึงเส้นทางนี้มานานแรมปี
เป้าหมายการเดินทางของเราครั้งนี้ แน่นอนว่าเราโฟกัสไปที่บ้านหินขาว ซึ่งเส้นทางนี้เป็นทางชักลากไม้เก่า แต่เราก็มองไกลไปถึงปลายทางจะทะลุที่บ้านคลองเรือ ที่ตั้งอยู่กลางธรรมชาติบนผืนป่าต้นน้ำพะโต๊ะ และมีวิถีชีวิตของชุมชนที่โดดเด่นในเรื่องทำเลที่ตั้ง ชาวบ้านในชุมชนอาศัยพลังงานไฟฟ้าจากจากแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ใช้น้ำประปาภูเขาที่ต่อมาจากน้ำตกเหวตาจันทร์ จนเกิดเป็นกลุ่มท่องเที่ยวบ้านคลองเรือ พานักท่องเที่ยว เที่ยวชมวิถีชีวิตชุมชนในแง่มุมต่างๆ อาทิ การกรีดและรีดยาง การร่อนแร่ดีบุกในธารน้ำ และการจักสาน ลิ้มรสผลไม้สดๆ นานาชนิดจากสวนผลไม้ รวมทั้งร่วมกรรมวิธีการผลิตกาแฟตั้งแต่ วิธีการเก็บ ตาก สี คั่วและชงกาแฟสด บ้านคลองเรือจึงเป็นสถานที่หนึ่งที่เหมาะกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมเป็นอย่างยิ่ง จนได้รับการคัดเลือกจากสำนักพัฒนาการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งใน โฮมสเตย์มาตรฐานของประเทศไทย
เย็นวันศุกร์กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เราทั้งหมดเริ่มทยอยออกเดินทางมาจากที่ต่างๆ มุ่งสู่เป้าหมาย อ.กะเปอร์ ท่ามกลางสายฝนที่ตกปอยๆ อย่างน่ารำคาญตลอดทาง เราต้องขับรถกันด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากอย่างที่ทราบกันดี รถออฟโรดที่มีการตกแต่งมาเพื่อการเที่ยวป่านั้น มันไม่ค่อยจะถูกกับถนนดำเท่าไรนัก โดยเฉพาะยางที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นยางบั้งหนาเหมาะสำหรับตะกุยตะกายในเส้นทางทุรกันดาร แต่กับถนนดำราดยางและคดโค้งไป-มา เช่นนี้ มันลื่นไม่เอาใครจริงๆ
เราใช้ทางหลวงหมายเลข 41 เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 4006 ผ่าน อ.พะโต๊ะ ก่อนจะไปเลี้ยวซ้ายอีกครั้งตรงสามแยกที่ทางหลวงหมายเลข 4 ขับไปเรื่อยๆ จนถึงโรงพยาบาลกะเปอร์ จึงเลี้ยวซ้ายเข้า เอส เอส กะเปอร์ รีสอร์ท จุดพักแรมและจุดนัดพบก่อนเดินทางเข้าป่าในวันพรุ่งนี้
ถึงตรงนี้เวลาก็เกือบๆ สองทุ่ม โดยที่สมาชิกจากสุราษฎร์ฯและจากระนอง เดินทางมาสมทบกันครบทีม ยังเหลือก็เพียงสองพี่น้อง มิ้ง และหม่อง (ศักดา ณ นคร) ซึ่งนำรถแข่ง 2 คันบรรทุกขึ้นรถเทลเลอร์มา ส่วนเจ้าของนั่งเครื่องมาลงสนามบินระนอง แต่อีกคันก็เป็น ปอนด์ ขับมาเองพร้อมครอบครัว ซึ่งทั้งหมดนั้นมาจากทีมศรีสัมพันธ์ดีเซล เรานั่งพูดคุยทักทายกันไปตามประสาคนออฟโรดคอเดียวกัน ผ่านสุราน้ำใจและเพื่อรอรถที่มาจากกรุงเทพมหานคร จนกระทั่งเที่ยงคืนเศษๆ รถทุกคันเข้าที่พักจนครบ จึงแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย เก็บแรงเอาไว้ลากวินช์ในวันพรุ่งนี้
เช้าตรู่ของวันใหม่ ทุกคนรีบตื่นเพื่อทำภารกิจส่วนตัว ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายๆ และสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ทำให้ค่อนข้างกระปรี้กระเปร่ากันอย่างบอกไม่ถูก ราวกับม้าศึกเตรียมออกสู่สนามรบ ต่างคนต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ พวกจัดเตรียมเสบียงอาหารจัดกันไป ที่เหลือก็ตรวจเช็คความพร้อมของรถและอุปกรณ์ก่อนออกเดินทางอีกครั้งเพื่อความชัวร์
ระนองนั้น ได้รับฉายาว่า “ฝนแปด แดดสี่” เห็นจะจริง เพราะเมื่อเช้าตรู่อากาศยังดูแจ่มใส ครั้นเริ่มเคลื่อนขบวนออกมาตอนสายๆ เริ่มตั้งเคล้าดำทะมึนดักเราอยู่ข้างหน้า ช่างรู้เวลาจริงๆ เราออกเดินทางจากที่พักผ่านชุมชนเล็กๆ มีชาวบ้านโบกไม้โบกมือทักทายเป็นระยะๆ
ขับจากที่พักมาได้ประมาณ 7 กิโลเมตร ก็ถึงปากทางเข้าสู่เส้นทางออฟโรด รถทุกคันจอดปรับเปลี่ยนระบบเกียร์จากขับเคลื่อนสองล้อ มาเป็นขับเคลื่อนสี่ล้อในโหมดของ 4L เพื่อต่อสู้และเอาชนะกับอุปสรรคปัญหาในเส้นทางธรรมชาติอย่างแท้จริง
ราวกับรู้งาน ฟ้าที่ตั้งเค้าทะมึนอยู่ไม่นานก็เริ่มตกโปรยปรายลงมาทักทาย ก่อนจะเทลงมาอย่างห่าใหญ่ ช่วยเติมเต็มการผจญภัยในครั้งนี้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ ขบวนทั้งหมดขับลัดเลาะไปตามเส้นทางที่รกร้างมายาวนาน บางช่วงรกชัฏจนแทบไม่เหลือเส้นทางเดิม ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างล่าช้าๆ แถมอุปสรรคก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ทั้งร่องน้ำ เนินที่ลาดชัน จนบางครั้งก็ต้องเบี่ยงออกจากเส้นทางที่รกทึบเหล่านั้น หันไปวิ่งล่องลำธารแทน
ขบวนของเราค่อยเดินหน้ารุกคืบคลานสู่จุดหมายไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ต้องจอดสนิท เนื่องจากเจอต้นไม้ขนาดใหญ่ล้มเป็นจระเข้ขวางทางอยู่ และหมดหนทางที่จะเบี่ยงหลบ ทางเดียวที่จะผ่านไปได้ก็คือ ต้องนำต้นไม้เบี่ยงหลบออกนอกเส้นทาง และทุกคนก็ได้แสดงพลังแห่งความสามัคคี ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ในที่สุดก็สามารถเดินทางกันต่อ
ผ่านไม้ล้มไปแล้ว ใช่ว่าข้างหน้าจะไร้ซึ่งอุปสรรค ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปเท่าไหร่ อุปสรรคก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทวีคูณ เพราะเส้นทางนี้ได้ถูกทิ้งร้างมานานมากแล้ว แทบจะไม่หลงเหลือร่องรอยของเส้นทางเดิมแม้แต่น้อย จากต้นไม้ล้มก็เจอทางแคบ ด้านขวาเป็นหน้าผาลึกเอาการ แต่มีกอไผ่เป็นกำแพงกั้นพอลดความหวาดเสียวได้บ้าง รถทุกคนต้องขับชิดขวาให้มากที่สุด แต่ก็ไม่ใช้เรื่องง่ายๆ เพราะดินที่ลื่นทำให้การบังคับรถให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการไม่เป็นไปตามที่ต้องการ
วินช์ และเชือกคล้องต้นไม้ จึงกลายเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด ทุกคันค่อยๆ ทยอยวินช์ผ่านจุดนี้ไป และขับลัดเลาะไปตามลำห้วยอีกครั้ง หงา ผู้นำทางได้บอกเรา เป็นที่น่าสังเกตว่า ปีนี้น้ำในลำธารดูจะน้อยกว่าปีก่อนๆ มาก ทำให้รถของพวกเราได้อาศัยเป็นทางวิ่งได้สบาย
อย่างไรก็ตาม หินขาวยังไม่หมดฤทธิ์เท่านั้น เพราะแค่ไม่กี่อีดใจเราก็ต้องพบกับอุปสรรคใหม่ และใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา นั่นก็คือ ทะเลบ่อโคลน รถทุกคันจอดนิ่งสนิท โดยที่ผู้ขับขี่ต่างต้องลงมาดูไลน์ เพราะถึงตรงนี้การบอกไลน์คงเปล่าประโยชน์ ทุกคนเดินมารวมกันริมบ่อโคลน ร่วมวิเคราะห์ว่าเราจะผ่านจุดนี้ไปได้อย่างไรกัน เพราะไม่ใช่แค่ความลึกเท่านั้น บ่อโคลนจุดนี้ค่อนข้างยาว ที่แน่ๆ มันยาวกว่าสายวินช์ของรถแต่ละคัน แถมรัศมีการดึงก็เป็นทางโค้งๆ อีกด้วย
เจ้าบ้านอย่าง นพพร มีกลิ่นหอม แห่งทีมระนองออฟโรด ผู้คร่ำหวอดในวงการออฟโรดมานาน ได้สิทธิ์ลงบ่อโคลนเป็นคันแรก และทำท่าจะไปได้สวย แต่แล้วก็ไม่รอดครับ “วินช์ๆๆ “ เสียงตะโกนมาจากกลางบ่อโคลน และแน่นอนว่ารถทุกคันไม่สามารถผ่านจุดนี้ไปได้ หากไม่ใช้วินช์แม้แต่รถแข่งตัวแรงจากกรุงเทพฯก็ไม่ได้รับการยกเว้น
กว่าจะผ่านบ่อโคลนนี้ได้เวลาก็เริ่มคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ ก็ตกเย็นกันเลยทีเดียว ประกอบกับเส้นทางที่รกทึบทำให้ความมืดคืบคลานเข้ามาเร็วกว่าปกติ สำคัญสุดเราต้องเผื่อเวลาในการเดินทางกลับไว้ด้วย เพราะว่ามีสมาชิกต้องเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร จึงสรุปกันว่าทริปนี้ เราจะตั้งแคมป์แถวนี้ นั้นหมายถึงว่าทริปนี้เราไปไม่ถึงจุดหมายที่ตั้งไว้ รถทุกคันมาพร้อมกันที่ตั้งแคมป์ ทุกคนแยกย้ายกันไปกางเต็นท์บ้าง ผูกเปลบ้าง บางส่วนก็จัดเตรียมข้าวปลาอาหาร
เราร่วมกันรับประทานอาหารกันกลางผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมกับสายฝนที่ตกต้อนรับการมาเยือนของพวกเราอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อากาศค่อนข้างเย็นจนต้องก่อกองไฟช่วยเสริมให้ความอบอุ่นอีกทางหนึ่ง คืนนั้นเรานั่งคุยกันจนดึกกว่าจะแยกย้ายกันเข้านอน
เช้าวันอาทิตย์กลิ่นกาแฟลอยมาแตะจมูก จนผมทนไม่ไหวต้องลุกออกจากเปล ตามหาเจ้าของกลิ่นดังกล่าวเพิ่มความสดชื่นยามเช้า นานมากแล้วที่ไม่ได้ดื่มกาแฟกลางป่า กลางวงล้อมของธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์แบบนี้ เช้าวันนี้บรรยากาศเป็นไปแบบสบายๆ เราไม่รีบร้อนนัก เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสกับธรรมชาติกันอย่างเต็มที่ เพราะเส้นทางที่จะเดินทางกลับนั้น ก็คือ ย้อนกลับทางเดิม หากไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง
ตอนสายๆ เราก็เก็บอุปกรณ์ขึ้นรถ ทยอยนำรถออกเดินทาง โดยใช้เส้นทางย้อนรอยเส้นทางที่เข้ามาเมื่อวาน เป็นไปตามคาดครับ เราใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมงก็ผ่านมาถึงปากทางเข้า เราจอดพูดคุยและโบกมือร่ำลา แยกย้ายกันกลับภูมิลำเนา พร้อมสัญญาว่าจะมาล้างตาที่เส้นทางหินขาว เอาให้ทะลุถึงน้ำตกคลองเรือให้ได้
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.