ประมวลภาพงานแข่งออฟโรดเชื่อมสัมพันธ์สองฝั่งโขง ไทย-ลาว อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี
นับว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานของชมรมสะหายออฟโรด กับการจัดงานแข่งขันรถยนต์ออฟโรดเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กันจริงๆ เลยก็ว่าได้ เพราะได้รับความร่วมมือจากหลายๆ ชมรมในภาคอีสานที่ได้มารวมตัวกันและยังเป็นสิ่งที่ดีสัมหรับความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ นักแข่งจากเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว ที่ได้ส่งรถมาร่วมการแข่งขันไม่น้อยเลยทีเดียว จากฝั่งลาวมายังสนามแข่ง อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี ระยะทางเกือบ 100 กม. แถมยังมาร่วมทำบุญตามที่เจ้าภาพงานได้แจ้งไว้
ในวันแรกของการแข่งขันได้รับเกียรติจาก พลโทอำนวย จุลโนนยาง อดีต ผบ.มทบ.24 เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยมี นายพรชัย เภาชัย ประธานชมรมสะหายออฟโรด นายศรายุทธ ปรีชา รองประธานชมรมสะหายออฟโรด นายวีระ น้ำเพชร รองประธานชมรมสะหายออฟโรด เป็นผู้ร่วมกล่าวรายงานการจัดงานในครั้งนี้ โดยใช้สนามที่ อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี จัดขึ้นระหว่านวันที่ 25-26 พ.ย 2560 ที่ผ่านมา
การจัดงานในครั้งนี้ได้การตอบรับจากพี่น้องออฟโรดจากจังหวัดต่างๆในภาคอีสานรวมถึง 50 คันจาก 15 ชมรมที่มาร่วมงาน การแข่งขันแบ่งออกเป็น 5 รุ่น ได้แก่ รุ่นปีกนก รุ่นคานแข็ง รุ่นท่องป่า รุ่นโอเพ่น รุ่น VIP และ รุ่น Lady เป็นการจัดงานการแข่งขันครั้งแรกสำหรับชมรมสะหายออฟโรด แต่ก็ไม่ใช่มือใหม่ในวงการออฟโรดสำหรับชมรมสะหายออฟโรดถือเป็นชมรมที่ถือได้ว่าท่องเที่ยวในเชิงออฟโรดที่โหดที่สุดของภาคอีสานเลยก็ว่าได้ชื่อเสียงในด้านการขับรถออฟโรดไม่ได้น้อยหน้าชมรมอื่นๆ เลย ส่วนมากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จะเคยมาเยือนถิ่น อ.น้ำโสมในด้านของการท่องเที่ยวไม่ว่าจะด้านของออฟโรดสถานที่ที่ขึ้นชื่อคือ ห้วยโก่ง ในด้านของแหล่งท่องเที่ยวของอำเภอนี้ก็มีหลายสถานที่ เช่น วัดภูก้อน วัดผาตากเสื้อ
การจัดงานในครั้งนี้เลยถือว่าเป็นการพักผ่อนสำหรับการท่องเที่ยวและแข่งออฟโรดไปในตัวบรรยากาศในวังแข่งเหมือนอยู่กันคนละประเทศ กลางวันร้อน กลางคืนหนาวจับใจเรียกได้ว่าเสร็จงานนี้ต้องหายากินกันเลย สำหรับสนามนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายเลยกับการแข่งขันการกุศล โดยไฮไลน์อยู่ที่ บ่อน้ำลึก 1.50เมตร และหลุมตัว L ที่ทั้งลึกและโค้งเป็นรูปตัว L ในหลุมสำหรับรถใหญ่ท้ายยาวกับติดหน้าติดหลังกันไปเลย ต้องใช้ทักษะของการขับออฟโรดอย่างขนานแท้ อย่างว่าละครับในเมื่อเจ้าภาพเป็นสายของการท่องเที่ยวออฟโรดสายโหดทางเจ้าภาพก็จัดให้แบบลืมไปเลยว่าเป็นสนามแข่งขัน จนนักแข่งอย่างเพื่อนบ้านเราจาก สปป.ลาว ต่างพากันตั้งชื่อหลุมว่า “นรกขุมที่18” บางคันลงไปทั้งเสียงดังทั้งควันดำลงไปในหลุมลึกแคบก็ไม่เห็นอะไรเลย พอเริ่มขึ้นจากหลุมก็จะเห็นตัวรถที่วิ่งขึ้นจากหลุมมีควันดำๆ ปกคลุมหลุมอยู่เป็นภาพที่สวบงานจริงๆ ส่วนอีกหลุมที่ว่าลึก 1.50 เมตร ก็มีน้ำที่สูบเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด เพราะมีน้ำออกมาเรื่อยๆ เลยเป็นอุปสรรคของรุ่นท่องป่าและรุ่นโอเพ่น
สำหรับการแข่งขันในวันแรกจบไปสนามที่มองว่าง่ายก็ไม่เป็นอย่างที่หลายๆ คนคิดบางทีมงานก็ซ่อมรถกันไปจนถึงตี2 ตี3 กัน บางทีมก็ต้องมาวางแผนกับวันต่อไป ข้ามไปถามยังฝั่งเพื่อนบ้านของเราจาก สปป.ลาวต่างก็พากันว่า “ไผว่าสนามนี้ง่ายสนามการกุศล พอมาเห็นข้อยบอกเลยว่าหลุมที่เห็นตั้งชื่อให้เลย นรกขุมที่18“ เช้าวันที่26 ซึ่งเป็นงานแข่งวันที่สองก็ได้รู้เลยว่าอุปสรรคที่ทางเจ้าภาพจัดให้เป็นปัญหาสำหรับรถใหญ่จริงๆโค้งตัว L ติดหน้าติดหลังต้องแลกเลยว่าจะให้หน้า ข้าง ท้าย เอาส่วนไหน ผู้ชมในวันนั้นต่างก็พากันลุ้นส่งเสียงเชียร์กันราวกับเชียร์มวยทำให้บรรยากาศยิ่งพากันกดดันนักแข่งเร่งเร้าในหน้าตื่นเต้นมากขึ้น
จนเวลาล่วงเลยกำหนดการไปเล็กน้อยความมันส์ของการแข่งขันก็ยังลุ้นกันอย่างสนุกจนลืมไปว่าต้องเดินทางกลับกัน ด้วยมิตรภาพและสปีริตของชาวออฟโรดก็ได้ทำให้งานนี้สำเร็จครบตามที่ทางเจ้าภาพตั้งใจต้องขอขอบคุณพี่ๆน้องๆ ชาวออฟโรดที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ระยะการเดินทางไม่ใช่ใกล้ๆบางชมรมถึงที่หมายปลายทางจอดนอนแล้วนอนอีกทั้งเหนื่อยทั้งล้าแต่ก็คุ้มกับการมาได้ทั้งมิตรสหายจากต่างแดน ได้ทั้งประสบการณ์ ที่มีหัวจิตหัวใจในทางเดียวกันคำว่าออฟโรดถึงแม้จะในสนามเราแข่งขันกัน ต่อว่ากันบ้าง แต่พอเสร็จสิ้นแล้วเราก็ถอดเสื้อผ้าเป็นชุดพร้อมทั้งคราบของการเป็นนักแข่งออกไป หันมาจับไม้จับมือกอดคอชนแก้วกันอย่างมิตรภาพ และต้องขอชื่นชมทางชมรมสะหายออฟโรดที่ร่วมมือร่วมใจกันจัดงานนี้ขึ้นมา