บันได 4 ชั้นสำหรับมือใหม่ซื้อ Car Seat ให้ลูก

อาจจะเพราะรู้หรือไม่รู้ แต่เด็กเล็กมักจะถูกละเลยในเรื่องของความปลอดภัยในระหว่างการเดินทางอยู่เป็นประจำ ดังนั้น ภาพที่เราได้เห็นผู้โดยสารตัวน้อยนอนหลับอยู่ในอกแม่ หรือกระโดดโลเต้นอยู่ในห้องโดยสารระหว่างที่รถยนต์กำลังเคลื่อนที่เป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้บนท้องถนนในบ้านเรา

The all-new XC90 can be equipped with an integrated booster cushion for a child on the centre position in the rear seat.

ไม่มีใครห้ามไม่ให้คุณพาเด็กเล็กเดินทาง เพียงแต่ว่าเมื่อคุณต้องกระเตงพวกเขาไปไหนมาไหนบนยานพาหนะที่มีการเคลื่อนที่ ก็ควรที่จะมอบความปลอดภัยในการเดินทางให้กับพวกเขาด้วยเช่นกันกับการติดตั้งเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือ Car Seat ซึ่งเปรียบเสมือนกับเข็มขัดนิรภัยสำหรับเด็ก

การเดินทางท่องเที่ยวกับครอบครัวเป็นสิ่งที่คนไทยในยุคนี้ปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่าคำว่าครอบครัวนั้นไม่ได้มีแค่คุณกับผมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรดาเด็กๆ ทั้งหลายที่อยู่ในครอบครัวของคุณด้วย ดังนั้น แทนที่จะปล่อยให้เด็กๆ เหล่านี้นั่งอยู่บนเบาะนั่งอย่างอิสระแล้วใช้เข็มขัดนิรภัยคาดลงไป หรือปล่อยให้เล่นกันอย่างอิสระ คุณควรจัดเตรียมเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กให้กับพวกเขา

อย่าบอกว่า ‘ตัวเองขับรถระมัดระวังอยู่แล้ว’ หรือ ‘ขับช้าๆ ไม่เป็นอะไรหรอก’ เพราะอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ถ้าไม่ได้มาจากคุณ ก็มาจากคนอื่นที่อยู่บนท้องถนน และความปลอดภัยเป็นสิ่งที่อะลุ่มอะหล่วยไม่ได้ มีแค่ ‘ต้องทำ’ เท่านั้น

1.ประเภทของเบาะ…คุณต้องรู้จักก่อน

เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กก็เหมือนกับอุปกรณ์หลากหลายอย่างนั่นแหละ คุณต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับมันก่อน ไม่ได้เดินดุ่ยๆ เข้าไปซื้อเลย เพราะเจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้จะต้องถูกเลือกอย่างเหมาะสมกับวัยและสรีระของเด็กเพื่อความปลอดภัยในการปกป้องอย่างสูงสุด

ในตลาดทั่วไปมีการแบ่งเบาะนั่งเด็กออกเป็น 4 แบบด้วยกัน ซึ่งแต่ละแบบก็มีคุณสมบัติและหน้าที่ในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป

Volvo Cars’ new generation child seats

1.Infant Carrier Seats สำหรับเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 เดือน ซึ่งมีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ 9.09 กิโลกรัม หรือ 20 ปอนด์ และความสูงประมาณ 26 นิ้ว ซึ่งบางยี่ห้อจะขายเป็นลักษณะคล้ายแปลหิ้วแบบ Built-in รวมกับชุดรถเข็นเลยก็มี เรียกว่าแบบ 3-1 ซื้อมาแล้วได้ทั้งเบาะนั่งนิรภัย รถเข็น หรือแปลหิ้วเวลาพาเจ้าตัวเล็กไปหาหมอ

Volvo Cars’ new generation child seats

2.Rear-Facing Convertible Seats สำหรับเด็กที่มีอายุ 6 เดือนจนถึง 1 ปี ซึ่งมีน้ำหนักไม่เกิน 13.6 กิโลกรัม หรือ 30 ปอนด์ และเมื่อนั่งในเบาะแล้ว ขอบบนของเบาะมาจนถึงด้านบนของศีรษะเด็กจะต้องห่างกันไม่ต่ำกว่า 1 นิ้ว เพื่อความปลอดภัยในกรณีที่อาจจะกระแทก เพราะเบาะแบบนี้ยังต้องติดตั้งในลักษณะ Rear Facing หรือหันหัวเด็กไปทางด้านหน้าของรถ

Volvo Cars’ new generation child seats

3.Forward Facing Seat หรือ Toddle Booster Seat เหมาะใช้กับเด็กที่มีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป และมีน้ำหนักไม่เกิน 40 ปอนด์ หรือ 18.8 กิโลกรัม หรือดูจากเมื่อเด็กนั่งอยู่ในเบาะ บนสุดของหัวไหล่จะต้องอยู่ในระดับต่ำกว่าแนวของเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดของตัวเบาะ และเป็นกลุ่มที่มีตัวเลือกหลากหลายแบบ

Booster หรือเบาะนั่งเสริม มีทั้งรูปแบบที่เป็นเบาะทั้งอันมีทั้งที่รองและพนักพิงหลัง หรือว่าเป็นแค่เบาะรองนั่งอย่างเดียว โดยจะใช้งานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดของเบาะหลัง ซึ่งเบาะประเภทนี้เป็นจุดสุดท้ายของเบาะนั่งนิรภัยก่อนที่ตัวเด็กจะเปลี่ยนผ่านไปสู่การโตเต็มวัยสำหรับการใช้เข็มขัดนิรภัยในรถยนต์

โดยปกติแล้ว Booster จะใช้กับเด็กที่มีอายุระหว่าง 4-8 ปี ซึ่งมีความสูง 4 ฟุต 9 นิ้ว หรือ 142 เซ็นติเมตร และก็รวมถึงผู้ใหญ่มีความปิดปกติกับสรีระด้วย เพราะตัวเบาะจะช่วยรองให้ระดับในการนั่งของเด็กอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับการใช้เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดในเบาะหลังของรถ

นอกจากนั้น ในฝั่งยุโรปยังใช้วิธีแบ่งประเภทของเบาะออกเป็นขั้น หรือ Stage ตามมาตรฐานการทดสอบของยุโรปที่เรียกว่า ECE ซึ่งมี 2 มาตฐาน คือ ECE R44.03 and ECE R44.04 แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ต่างจากการแบ่งข้างบนสักเท่าไร และผมคิดว่าวิธีนี้ทำให้เลือกซื้อเบาะได้ง่ายและสะดวกกว่าด้วยซ้ำ

Stage 1 = Groups 0 and 0+ ซึ่งแบบแรกสำหรับเด็กอายุ 6-9 เดือนที่มีน้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม และอย่างที่ 2 สำหรับเด็ก 12-15 เดือนที่มีน้ำหนักไม่เกิน 13 กิโลกรัม

Stage 2 = Group 1 เด็กที่มีน้ำหนักระหว่าง 9-18 กิโลกรัม หรือใช้ได้ตั้งแต่ 9 เดือนจนถึง 4 ปี

Stage 3 = Group 2 เด็กที่มีน้ำหนักระหว่าง 15-25 กิโลกรัม หรือใช้ได้ตั้งแต่ 4-6 ปี

Stage 4 = Group 3 เด็กที่มีน้ำหนักระหว่าง 22-36 กิโลกรัม หรือใช้ได้ตั้งแต่ 6-11 ปี

ถ้าว่ากันตามการแบ่งประเภทของยุโรปแล้ว เบาะนั่งจะมีแค่ 3 แบบเท่านั้น คือ สำหรับแรกเกิดที่อยู่ใน Group 0 และ 0+ ตามด้วยแบบ Toddle ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Group 1 และ Booster ที่อยู่ในกลุ่ม Group 2 และ 3 และในบางครั้งเบาะนั่ง 1 ตัวอาจจะสามารถผ่านมาตรฐานการทดสอบโดยได้เรทที่รองรับ Stage ในกลุ่มที่สูงกว่า เช่น เบาะนั่งในแบบ Group1 อาจรองรับกับการใช้งานใน Group 2 หรือ 3 ก็ได้ ถ้าสามารถผ่านการทดสอบภายใต้ข้อกำหนด

ตรงนี้ต้องดูที่ป้ายบอกจากผู้ผลิตเบาะนั่งเด็กให้ดี หรือพูดง่ายๆ คือ ท่านผู้ปกครองควรหาข้อมูลจากเว็บไซต์และทำการบ้านให้เยอะๆ ก่อนตัดสินใจ

ประโยชน์ของเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก

-ลดอาการบาดเจ็บของเด็กในระหว่างการเกิดอุบัติเหตุ

-เป็นที่พักผ่อนของเด็กในระหว่างเดินทาง

-ลดความเมื่อยล้าในการที่จะต้องอุ้มหรือนั่งตักของผู้โดยสารที่ต้องดูแลเด็ก

-ลดสิ่งรบกวนสมาธิในระหว่างขับรถ

ทำไมไม่ใช่เข็มขัดนิรภัยคาดให้เด็กเลยละ

Car Seat ทำหน้าที่เปรียบเสมือนกับเข็มขัดนิรภัยที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ เพียงแต่เป็นเข็มขัดนิรภัยที่ถูกออกแบบมาเพื่อเหมาะสมกับสรีระที่ยังไม่โตเต็มวัยเท่านั้นเอง ดังนั้น ความคิดที่ว่าการใช้เข็มขัดนิรภัยที่ติดตั้งมากับตัวรถกับเด็กที่ยังไม่โตเต็มวัยถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก

เข็มขัดนิรภัยที่ติดตั้งมากับตัวรถได้รับการออกแบบโดยอิงสรีระของผู้ใหญ่ที่โตเต็มวัยเป็นหลัก ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในการนำมาคาดกับเด็กไม่ว่าจะเล็กหรือโต และก็รวมถึงผู้ใหญ่ที่มีความปิดปกติของขนาดสรีระด้วย ซึ่งในบางเว็บไซต์ระบุว่า เด็กจะใช้เข็มขัดนิรภัยได้โดยไม่ต้องใช้เบาะนั่งเสริม หรือ Booster ก็ต่อเมื่อมีความสูงเกิน 4 ฟุต 9 นิ้ว หรือ 142 เซ็นติเมตรขึ้นไป

จากการทดสอบในต่างประเทศพบว่า การนำเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้กับเด็ก เมื่อเกิดการชน แรงกระชากจะส่งผลต่ออวัยวะภายในตรงช่องท้อง และขนาดของร่างกายที่เล็กของเด็กก็จะมีการเคลื่อนตัวไถลลง ทำให้เข็มขัดในส่วนที่พาดตรงไหล่บาดเข้าที่ลำคอ ผลคือ มีความเสี่ยงสูงที่เด็กจะคอขาดได้จากแรงกระชากที่เกิดขึ้น

ดังนั้น ถ้ายังเป็นเด็กควรนั่งอยู่บน Car Seat จะปลอดภัยมากที่สุด

แล้วจะเลือกแบบไหนดีละ ?

การจะเลือกซื้อเบาะแบบไหนนั้น ให้หันไปมองเจ้าตัวเล็กที่จะต้องนั่งเป็นหลัก และเวลาจะซื้อทุกครั้ง ควรนำลูกไปลองด้วยตัวเอง เพราะเด็กจะนั่งสบายหรือไม่สบายกับรูปทรงของเบาะ หรือวัสดุของตัวเบาะนั้น ต้องลองกับของจริงเท่านั้น

นอกจากเรื่องของคนที่จะต้องนั่งแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าในการเลือกซื้อ คือ

1.ช่วงอายุที่ต้องการใช้งาน : ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเลือกใช้งาน Car Seat ที่ตรงกับวัยและช่วงอายุของเด็ก ไม่ต้องซื้อเผื่อเพราะ Car Seat ไม่ใช่เสื้อผ้า แต่จะส่งผลต่อความปลอดภัยในการใช้งานเพราะประสิทธิภาพในการปกป้องจะลดลง และในทางกลับกันอาจจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี

ในกรณีที่คุณมีการวางแผนการใช้งานอย่างเป็นระบบ สิ่งที่ต้องทำคือ ค้นหา Car Seat ที่ตรงกับความต้องการของคุณเองให้เจอ เพราะเบาะนั่งบางรุ่นถูกออกแบบมาให้มีการใช้งานที่ครอบคลุม อาจจะตั้งแต่อายุ 1 ปีจนถึง 6-7 ปีเลยก็มี โดยตัวผู้ผลิตจะออกแบบให้ตัวเบาะสามารปรับหรือถอดชิ้นส่วนออกมาเพื่อเปลี่ยนจากเบาะแบบหนึ่งไปเป็นเบาะอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเท่าที่เห็นในท้องตลาดคือ Recaro Young Sport

ตรงนี้มีข้อดีในเรื่องของความยืดหยุ่นในการใช้งาน แต่ข้อด้อยอาจจะมีเรื่องของประสิทธิภาพในการปกป้องที่อาจจะลดลงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเบาะที่ออกแบบบมาให้ตรงกับช่วงอายุที่ใช้งาน

2.แบบธรรมดาหรือ ISOFIX : นี่คืออีกสิ่งที่เจอเสมอ คือ แล้วจะต้องเลือกแบบไหนดี ประเด็นมีอยู่ 2 อย่างที่จะต้องนำมาใช้ในการพิจารณาร่วม คือ รถยนต์ของคุณ และงบประมาณ ถ้าอย่างแรกในตัวรถมีการติดตั้งจุดยึดที่เรียกว่า ISOFIX มาให้ (รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ขายในบ้านเราหลังจากปี 2010 มักจะมีติดตั้งมาให้จากโรงงานแล้วในเกือบทุกเซ็กเมนต์) คราวนี้สิ่งที่คุณต้องกังวลต่อไปคือ เรื่องของงบประมาณ เพราะส่วนใหญ่แล้วเบาะนั่งที่มี ISOFIX จะมีราคาแพงกว่ารุ่นปกติอยู่ราวๆ 20-30% ในกรณีที่เปรียบเทียบกับรุ่นเดียวกันระหว่างมีกับไม่มีระบบนี้ และถ้ามีระบบ ISOFIX เราแนะนำให้ยอมจ่ายแพงไปเถอะ เพราะมีประสิทธิภาพในการยึดรั้งที่ดีกว่า

3.ต้องดูสติกเกอร์ : เพราะ Car Seat เป็นเรื่องของความปลอดภัย ดังนั้น เรามักจะเน้นย้ำให้ทุกคนใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องของความปลอดภัย ซึ่งตามปกติแล้ว แบรนด์ที่ได้มาตรฐานและผ่านการทดสอบจะมีสติกเกอร์ตัวนี้แปะอยู่เพื่อยืนยันถึงประสิทธิภาพของตัวเบาะ โดยจะเป็นสติกเกอร์ที่ระบุถึงมาตรฐานที่ได้รับจากการทดสอบจากหน่วยงานอิสระที่น่าเชื่อถือในภูมิภาคนั้นๆ ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ควรนำมาใช้ในการประกอบการพิจารณา เพราะเท่ากับว่าเบาะนั่งนิรภัยตัวนั้นได้รับการทดสอบจนมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ แต่นั่นก็หมายความว่าคุณต้องจ่ายแพงขึ้นมาอีกหน่อยกับของที่มีคุณภาพ

ISOFIX คือ อะไร ?

ISOFIX เป็นมาตรฐานจุดยึดที่มีติดตั้งในรถยนต์ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกทั้งในยุโรป ญี่ปุ่น และรวมถึงบ้านเรา (ถ้ามี) หรือบางทีก็ถูกเรียกว่า  UCSSS- Universal Child Safety Seat System แต่ในสหรัฐอเมริกา เรียกว่า LATCH หรือ Lower Anchors and Tethers for Children และในแคนาดาใช้ชื่อว่า Canfix หรือ Luas Lower Universal Anchorage System

ทั้งหมดแม้ว่าจะเป็นรูปแบบของระบบการยึดเบาะนั่งเด็ก แต่ถ้ามองในรายละเอียดจริงๆ แล้วจะพบกับความแตกต่างในเรื่องของชิ้นส่วนในการยึดรั้ง อย่างระบบ LATCH จะมีลักษณะคล้ายกับสมอบกสำหรับยึดด้านบนของตัวเบาะ ส่วนที่ยึดด้านล่างจะเป็นหูเกี่ยวคล้ายกับตะขอของพวกนักปีนเขา

ดังนั้น คนที่ซื้อเบาะนั่งจากฝั่งสหรัฐอเมริกา ควรดูรายละเอียดให้ดีว่านอกจากการใช้กับระบบ LATCH แล้ว เบาะนั่งเหล่านี้สามารถใช้เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดยึดรั้งตัวเบาะได้หรือไม่ ซึ่งนั่นก็รวมถึงเบาะที่ใช้กับจุดยึด ISOFIX ด้วย เพราะบางรุ่นถูกออกแบบมาเฉพาะกับรถยนต์ที่มีระบบนี้เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดได้ ต่างจากเบาะนิรภัยที่ใช้กับเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ซึ่งบางยี่ห้อจะมีชุดติดตั้ง ISOFIX เข้ากับตัวเบาะเพื่อใช้กับรถยนต์ที่มีจุดยึด ISOFIX แยกขายต่างหาก

ISOFIX เป็นมาตรฐานของ International Organisation for Standardisation โดยเป็นมาตรฐานสำหรับหัวข้อ ISO 13216-1 เกี่ยวกับเรื่องของการยึดรั้งในตัวรถ และก็รวมถึงเบาะนั่งเด็กใน Group I ซึ่งตรงตัวเบาะบางรุ่นจะถูกออกแบบให้มีแท่งยาวๆ อยู่ตรงด้านล่างฝั่งซ้ายและขวาของตัวเบาะ โดยวิธีใช้ก็เสียบแท่งนี้เข้ากับตัวล็อกของระบบที่ติดตั้งมาจากโรงงานในรถยนต์ และตรงด้านบนของตัวเบาะนั่งนิภัยของเด็กก็จะมีการยึดรั้งด้วยสายคาด ซึ่งติดตั้งอยู่ตรงแผงลำโพงด้านหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้เบาะหน้าคะมำไปทางด้านหน้าในกรณีที่เกิดการชน

จุดประสงค์ของการออกแบบ ISOFIX คือ วิธีที่สะดวกและถูกต้องในการติดตั้งเบาะนั่งนิรภัยเด็กเข้ากับตัวรถ เพราะแค่เสียบเข้ากับช่อง ISOFIX บนเบาะก็เสร็จแล้ว เพราะก่อนที่จะมีการออกแบบตัวยึดนี้ มีการเซอร์เวย์และพบว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่ติดตั้งเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กไม่ถูกต้อง และการยึดรั้งโดยใช้เข็มขัดนิรภัย 3 จุดของตัวรถยังไม่แน่นหนาพอ เพราะเข็มขัดสำหรับรถยนต์บางรุ่นอาจจะสั้นกว่าหรือยาวกว่าบางรุ่น

 

3.เลือกของใหม่ดีที่สุด

Car Seat มีวันหมดอายุไหม ?

คำถามนี้น่าสนใจ…แม้ว่าทางภาครัฐจะไม่ได้มีการระบุวันหมดอายุของตัวเบาะ แต่เพื่อความปลอดภัยทางผู้ผลิตมีการกำหนดเอาไว้ในกล่องหรือคู่มือ ซึ่งอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยของ Car Seat 1 ชุดนับจากวันที่ผลิตควรจะอยู่ที่ 8-10 ปี ด้วยเหตุผลในหลายๆ ด้าน

-ความเสื่อมของวัสดุที่เป็นส่วนประกอบของโครงสร้าง : ส่วนใหญ่แล้วตัวเบาะจะมีส่วนประกอบของเหล็กและพลาสติกสำหรับตัวโครงเบาะ ซึ่งปกติแล้ว Car Seat จะถูกติดตั้งอยู่ในห้องโดยสารเสมอ และมีเรื่องของความร้อนในขณะจอดตากแดดรวมถึงเรื่องของการกระชากและการกระแทกในระหว่างถอดเข้าถอดออกในระหว่างใช้งาน

-ความเสื่อมของวัสดุที่เป็นตัวเบาะและระบบยึดรั้ง : ในส่วนของเบาะนั่น จะมีส่วนผสมของผ้าที่ใช้ทำที่หุ้ม ฟองน้ำ และโฟม ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีความเสื่อมตามอายุขัย เช่นเดียวกับเข็มขัดนิรภัยที่ยึดอยู่บนตัวเบาะซึ่งจะต้องถูกเข้าถอดออกหลายต่อหลายครั้งตลอดอายุการใช้งาน

-เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป : อย่าลืมว่า Car Seat ก็คือ สินค้าอย่างหนึ่ง และดันเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับกฎและข้อบังคับทางภาครัฐที่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ดังนั้น เบาะรุ่นเก่าๆ อาจจะไม่สอดคล้องกับการใช้งานกับในปัจจุบัน เพราะมาตรฐานที่ทดสอบ ณ ตอนที่เบาะรุ่นนั้นวางขายอาจจะยังไม่เข้มงวดหรือมีมาตรฐานที่ดีพอ อีกทั้ง การพัฒนาตัวเบาะเองในเรื่องขององค์ความรู้จากบริษัทผู้ผลิตยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

แค่ 3 ข้อนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้การเลือกซื้อ Car Seat ควรเน้นความใหม่สดเป็นหลัก เพราะเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย และอายุของเทคโนโลยี

 

แล้วของมือสองน่าซื้อไหม ?

ถ้าถามว่าสินค้ามือสองน่าซื้อไหม คำตอบคือ ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไร เพราะจริงอยู่ที่อาจจะมีราคาถูกกว่าสัก 50-60% แต่อย่างที่เขียนข้างต้นในเรื่องของอายุการใช้งานที่แม้ว่าจะไม่มีจุดเสื่อหรือแตกหักให้เห็น แต่ด้วยอายุที่เยอะและผ่านการใช้งานมาแล้ว แถมเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ยังไงควรเลือกของใหม่ดีกว่า

นอกจากนั้น เรายังไม่ทราบที่มาที่ไปของการใช้งานที่ผ่านมาด้วยแล้ว อันนี้ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะคงไม่ดีแน่ ถ้าเมื่อถึงเวลาที่ Car Seat จะต้องทำหน้าที่ของตัวเองในการปกป้องชีวิตน้อยๆ แล้วดันทำได้ไม่เต็มที่

 

4.ได้มาแล้วก็ต้องติดตั้งให้ถูกด้วย

ฝรั่งเปรียบเทียบได้น่าสนใจว่า ‘Install Car Seat Wrong, Face Manslaughter’

พวกเขากำลังเปรียบให้เห็นถึงการติดตั้งที่ผิดหรือไม่ถูกวิธีแล้ว สุดท้ายก็ไม่ต่างจากการที่คุณกำลังส่งลูกน้อยไปเผชิญหน้ากับพวกสัตว์อันตรายกินเนื้อคนทั้งหลาย

จากการสำรวจของ The German Insurance Institute GDV พบว่ามีเพียง 30% เท่านั้นที่ผู้ปกครองติดตั้งเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กกับเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดของตัวรถได้อย่างถูกต้อง ขณะที่จุดยึด ISOFIX พบว่า มีการติดตั้งถูกต้องถึง 96% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความง่ายของระบบในการใช้งาน

อีกทั้งในคู่มือประจำรถหรือของเบาะนั่งเด็ก ผู้ผลิตมักแนะนำให้ยึดเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กเข้ากับ ISOFIX จะดีกว่า เพราะจากการที่จุดยึด ISOFIX ยึดเข้ากับตัวถังของตัวรถทำให้มีความหนาแน่นกว่า ลดการเคลื่อนตัวทั้งพุ่งไปข้างหน้าหรือออกทางด้านข้างได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ในยุโรป นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2006 รถยนต์ใหม่ทุกรุ่นจะต้องติดตั้ง ISOFIX พร้อมกับ Top Tether หรือสมอสำหรับยึดรั้งด้านบนของเบาะนั่งเด็ก มาจากโรงงาน และในปี 2011 รถยนต์ทุกคันที่วิ่งบนถนนจะต้องติดตั้ง ISOFIX  ขณะที่ของอเมริกาบังคับให้มี LATCH ในรถยนต์ใหม่ทุกคันมาตั้งแต่ปี 2002 โน่นแล้ว

ดังนั้น ความซับซ้อนในการติดตั้งมักจะเกิดขึ้นกับการใช้งานกับ Car Seat ที่ใช้เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดเป็นตัวยึดรั้ง

ในกรณีของเบาะนั่งเด็กอ่อน และเด็กที่มีอายุไม่เกิน 3 ปี ส่วนใหญ่แล้ว วิธีติดตั้งสำหรับการใช้เข็มขัดนิรภัย 3 จุด คือ ดึงสายคาดออกมาแล้วก็สอดไปทางด้านหลังของตัวเบาะ จากนั้นก็เสียบเข้ากับตัวล็อกเข็มขัดฯ ประเด็นที่จะทำให้ตัวเบาะแน่นหนาคือ ให้คุณแม่หรือคุณพ่อเอาหัวเข่ากดและทิ้งน้ำหนักลงไปที่ตัวเบาะนั่งเด็ก จากนั้นใช้มือดึงเข็มขัดฯ ให้ตึงแล้วค่อยกดตัวล็อกของเบาะให้แน่นและเมื่อติดตั้งเสร็จแล้วควรลองขยับตัวเบาะและจุดยึดตั้งๆ ว่าแน่นหนาหรือไม่ ถ้ายังไม่แน่น ก็ลองติดตั้งใหม่ ส่วนพวกบูสเตอร์ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะใช้เข็มขัดนิรภัยเป็นตัวยึดร่างกายของเด็กอยู่แล้ว ตัวเบาะเป็นแค่เบาะเสริมเท่านั้น

ทางที่ดีเมื่อได้ Car Seat มาแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือ นั่งอ่านคู่มือซะเหมือนกับที่เวลาที่คุณนั่งอ่านคู่มือโทรศัพท์มือถือนั่นแหละ หรือไม่ก็เสิร์ชหาเอาใน Youtube ซึ่งมีวิธีติดตั้งเบาะนั่งนิรภัยที่ถูกต้องให้ทำความเข้าใจและศึกษาอยู่มากมาย

Rear Facing ดีไหม ?

Rear Facing เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิดจนกระทั่งถึงวัย 1 ปีหรืออย่างน้อยมีน้ำหนักเกิน 10 กิโลกรัม แต่สำหรับผู้ผลิตรถยนต์จากสวีเดนซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมากบอกว่าควรจะนั่งไปเลยจนกว่าจะครบอายุ 4 ปี หรือมีน้ำหนักเกิน 25 กิโลกรัม หรือแม้แต่หน่วยงานอย่าง American Academy of Pediatricians ก็สนับสนุนให้เด็กนั่งแบบ Rear Facing ไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นเดียวกับงานวิจัยใหม่ๆ ล่าสุดที่เพิ่งตีพิมพ์เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ก็สนับสนุนให้เด็กนั่งแบบ Rear Facing จนกว่าจะถึง 4 ขวบ

ประเด็นตรงนี้เกิดจากสรีระของเด็กยังไม่มีความแข็งแรง โดยเฉพาะกระดูกคอ ซึ่งการนั่งแบบ Rear Facing จะเหมาะสมกว่า เพราะตัวเบาะนั่งในลักษณะนี้จะออกแบบมาเพื่อรองรับกับช่วงกระดูกคอและศีรษะของเด็ก และจากการทดสอบจะพบว่า เบาะนั่งแบบ Rear Facing อาการเคลื่อนตัวของศีรษะและคอแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย ต่างจากการนั่งแบบ Forward Facing ที่เมื่อเกิดการชนทางด้านหน้า ร่างกายของเด็กในส่วนหัวและแขนจะพุ่งไปด้านหน้าอย่างรุนแรงแม้ว่าตัวเบาะนั่งจะใช้เข็มขัดนิรภัยแบบ 5 จุดก็ตาม

นั่นเป็นเพราะการกระจายแรงกระแทกที่เกิดขึ้นจะถูกส่งผ่านไปทั่วแผ่นหลัง ศีรษะและคอของเด็ก ทำให้ช่วยป้องกันไม่ให้ศีรษะมีการเคลื่อนตัวอย่างรุนแรง รวมถึงช่วยลดอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรงเพราะแรงกระชากที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อเส้นประสาทของกระดูกสันหลัง

แม้เรื่องของการถูกชนทางด้านท้าย การนั่งแบบ Rear Facing จะมีประสิทธิภาพในการปกป้องลดลง แต่หลายความเห็นก็ชี้แนะว่า เรื่องการชนท้ายถือเป็นสิ่งที่รุนแรงน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการชนทางด้านหน้าทั้งแบบเต็มหน้าหรือครึ่งหน้า ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยและอันตรายกว่าในชีวิตประจำวัน

แต่ข้อควรระวังสำหรับการติดตั้งแบบ Rear Facing คือ เมื่อวางอยู่เบาะหน้าต้องมั่นใจและแน่ใจว่า คุณปลดการทำงานของถุงลมนิรถัยฝั่งคนนั่งด้านหน้าแล้ว เพราะไม่เช่นนั้น เมื่อเกิดการชน แรงกระแทกที่เกิดจากการพองตัวของถุงลมฯ อาจทำให้เด็กคอหักได้

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่อาจจะต้องรับมือกันอย่างหนักสำหรับผู้ปกครอง คือ การจับให้เจ้าตัวเล็กนั่งหันหลัง ซึ่งความจริงแล้วอาจจะดูฝืนๆ โดยเฉพาะเมื่อมาเริ่มเอาตอนมีอายุสักหน่อย

 

 

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    Cookies Details

Save