บนความท้าทาย ที่มิตรภาพไม่เคยเลือนหายไปตามกาลเวลา กับ 14 ปียุทธหัตถีฯ บนเส้นทางอ่างท่ากวย
ปกติวิสัยของชาวออฟโรดชนนั้น เป็นพวกชอบซุกซน อยู่นิ่งนานๆ ไม่เป็น…
บ่อยครั้งที่เราจะเห็นพวกเขารวมตัวกัน เพื่อทำกิจกรรมบางสิ่งบางอย่าง
อาทิ ชวนกันเข้าป่าไปออกกำลังเกียร์ ใช้ชีวิตเปื้อนฝุ่น ดิน โคลน ท่องไปตามป่าเขาลำเนาไพร อิงแอบอยู่กับธรรมชาติ
ส่วนพวกที่รักความท้าทาย ตื่นเต้น และเร้าใจ ชวนให้อะดรีนาลีนฉีดพล่าน ก็มักจะหันพวงมาลัยเข้าสู่สนามแข่งขัน เพื่อก้าวขึ้นไปยืนยังบัลลังก์แชมเปี้ยนอันทรงเกียรติและมีอยู่มากมายเช่นกันที่ขอแบ่งปันความสุขส่วนตัว ด้วยการอุทิศตนทำงานด้านสาธารณกุศล ยึดถือประโยชน์ของสังคมและส่วนรวมเป็นสรณะ และบนรอยต่อของกิจกรรมต่างๆ ที่กล่าวมานั้น ก่อให้เกิดมิตรภาพอันยิ่งใหญ่และยั่งยืน รวมทั้งยังเป็นการแสดงพลังแห่งสามัคคี
14 ฝน 14 หนาว นับว่าไม่น้อยเลย สำหรับอายุอานามของชมรมออฟโรดชมรมหนึ่ง ที่ยืนหยัดอยู่อย่างยิ่งใหญ่และมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าบางช่วงบางตอนอาจจะเหมือนเงียบหายไปบ้างจากภารกิจหลักที่ทุกคนต่างต้องกระทำ แต่ความเหนียวแน่น ความเป็นคนเลือดออฟโรดนั้น ยังเข้มข้นอยู่เสมอ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั่น ผมหมายถึง ชมรมยุทธหัตถีสุพรรณบุรีออฟโรด นั่นเอง
ชมรมยุทธหัตถีสุพรรณบุรีออฟโรดนั้น ก่อตั้งมาตั้งแต่เมื่อปี 2542 จัดเป็นชมรมที่มีการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างหลากหลาย ทั้งท่องเที่ยว เข้าป่า คาราวานเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ (ปีละครั้ง) รวมทั้งส่งรถลงแข่งขันรายการต่างๆ มาโดยตลอด ที่ผ่านมานั้น มี จำเริญ ไล้สุวรรณชาติ เป็นประธานชมรม ควบด้วยประธานชมรมออฟโรดภาคตะวันตก ก่อนที่จะสละตำแหน่งและมีการเลือกตั้งใหม่ โดยทุกคนพร้อมใจยกให้กับ ประสิทธิ์ ดีศิลปกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีซูซุอึ้งง่วนไต๋สุพรรณ จำกัด รับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่พานาวาลำนี้ให้โลดแล่นต่อ
เกริ่นมาเสียเกือบครึ่งเรื่อง หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วมันเกือบอะไรกับคอลัมน์ SPECIAL TRIP ในครั้งนี้ล่ะ…เกี่ยวแน่นอนครับ เพราะในโอกาสครบรอบ 14 ปี ชมรมยุทธหัตถีสุพรรณบุรีออฟโรดทั้งที จะจัดงานแบบธรรมดาจะหาว่าเสียชื่อชมรมออฟโรดคนเสียงเหน่อหมด เพราะฉะนั้นหลังจากมีการบวงสรวงขอศีลขอพรที่บริเวณอนุสรณ์ดอนเจดีย์อันเป็นต้นกำเนิดของชมรมแล้ว ก็จัดให้มีการนัดพบปะสังสรรค์กันในวันที่ 23-24 มีนาคม 2556 ที่ อ.บ้านไร่ โดยมีการนัดรวมตัวกันบริเวณบ้านไร่คอทเทจ บ้านพักสไตล์คันทรี่ของคุณมาลัย หนึ่งในสมาชิกยุคแรกๆ ของชมรมฯ ที่ปลีกวิเวกไปปลูกรีสอร์ทสวยๆ กลางธรรมชาติอยู่ที่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี และจะนำอุปกรณ์ดับไฟป่าไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่สถานีควบคุมไฟป่าบ้านไร่อีกด้วย
แต่ก่อนจะเดินทางเข้าที่พักเพื่อร่วมงานเลี้ยงรับรอบ 14 ปี ทางชมรมยุทธหัตถีสุพรรณบุรีออฟโรด ที่นำโดย ประสิทธิ์ ดีศิลปกิจ ประธานชมรมคนใหม่ ก็พาสมาชิกไปออกกำลังเกียร์กระตุ้นต่อม 4LOW พอหอมปากหอมคอในเส้นทางอ่างท่ากวย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางไฮไลต์ของ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี
ถ้าใครที่เป็นแฟนคอลัมน์ SPECIAL TRIP คงจำกันได้ว่าใน อ.บ้านไร่นั้น มีเส้นทางออฟโรดเด่นๆ ที่ตั้งอยู่บนแนวตะเข็บป่ารอยต่อกับห้วยขาแข้งผืนป่ามรดกโลกอยู่หลายแห่งด้วยกัน เช่น เหมืองยายมอญ น้ำตกกะทะทอง รวมทั้งเส้นทางอ่างเก็บน้ำท่ากวย ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับน้ำตกกะทะทองแต่คนละด้านกัน ความยากลำบากนั้น ในช่วงฤดูแล้งเช่นนี้คงไม่เท่าไรนัก แต่ถ้าหน้าฝนมาเยือนเมื่อไร เป็นได้เรื่องเมื่อนั้น ทั้งนี้เนื่องจากสภาพเส้นทางต่างๆ เหล่านี้ สภาพเส้นทางเป็นดินป่าไผ่เสียส่วนใหญ่ และเต็มไปด้วยเนินชัน และลำห้วยมากมาย
ในช่วงสายของวันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2556 หลังจากทุกคนเดินทางมารวมตัวกันที่บ้านไร่แล้ว ก็คัดรถที่พร้อมลุยได้ 8 คัน รถที่เหลือเป็นรถสแตนดาร์ดที่ไม่พร้อมลุยจอดเอาไว้ที่รีสอร์ท จากนั้นก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่อ่างเก็บน้ำท่ากวย โดยใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงเศษๆ ผ่านแหล่งท่องเที่ยวอย่างวังกินรี เลี้ยวขวาเข้าสู่เส้นทางออฟโรดที่บ้านอีเล่ห์ เข้าสู่เส้นทางลูกรังเล็กๆ ลัดเลาะไปตามเรือกสวนและไร่ของชาวบ้าน เข้าสู่เขตผืนป่าใหญ่ เส้นทางเริ่มไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แบบรู้สึกได้ แต่ยังเป็นไปแบบสบายๆ เราขับผ่านลำห้วยประมาณ 2 ลำห้วย ไม่ทันเที่ยงวันก็ทะลุถึงอ่างเก็บน้ำท่ากวย ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ใจกลางผืนป่า
ชาวบ้านที่หาปลาอยู่ในบริเวณนั้น มองดูขบวนรถของเราอย่างสงสัยเล็กน้อย ด้วยว่านานๆ ครั้งจึงจะมีรถขับเข้ามาด้านในนี้ เพราะส่วนใหญ่ชาวบ้านจะใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะหลักเดินทางเข้ามาหาปลาในอ่างเก็บน้ำที่นี่ เราหยุดพักขบวนเพื่อทานอาหารกลางวันกันที่ริมอ่างเก็บน้ำนี้ ซึ่งถือว่าบรรยากาศค่อนข้างดี วิวโปร่งโล่งเปิดกว้าง และใกล้ริมน้ำ อากาศก็เย็นสบายแม้จะเป็นช่วงเที่ยงวัน ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่เหมาะสำหรับการพักแรมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงปลายฝนต้นหนาวและฤดูหนาว
เสร็จภารกิจเรียบร้อยก็ออกเดินทางกันต่อ สู่แหล่งต้นน้ำของท่ากวย เส้นทางจะเริ่มรกขึ้นเรื่อยๆ จากต้นไผ่ที่ล้มระเกะระกะขวางทางอยู่เป็นช่วงๆ มีหลายครั้งที่ล้มลงมาขวางทางทั้งกอ จนต้องหาทางเบี่ยงหลบ เนื่องจากทัพหน้าที่ทำหน้าที่ตัดนั้น เริ่มล้าลงเรื่อยๆ จากอากาศที่ไร้ลมจนร้อนอบอ้าว
ชั่วไม่นาน หลังจากขับขึ้นๆ ลงๆ เนินกันมาพักใหญ่ ก็มาถึงจุดไฮไลต์ของเส้นทางนี้ เป็นเนินที่ยาวเอามากๆ คะเนดูจากสายตาจากตีนเนินด้านล่างตรงที่รถของเราจอดอยู่นี้ เนินชันคดเคี้ยวไปตามป่าไผ่ยาวขึ้นไปจนถึงยอดเขาด้านบน ความยาวไม่น่าจะต่ำกว่า 150 เมตร นี่ยังไม่นับจุดที่เนินนี้หายลับไปจากสายตา ซึ่งตอนหลังผมเดินไต่ขึ้นไปบนยอดเนิน จุดที่หายไปนั้นก็ไม่น้อยกว่า 50 เมตร เนินที่ยาวและคดเคี้ยวราวกับงูเลื้อยนั้น ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยร่องเล็กร่องน้อย และรากไม้ขวางอยู่เป็นระยะๆ
เนินนี้หากเป็นช่วงฤดูฝน สอบถามจากผู้ที่เดินทางมาได้ความว่า วินช์ประมาณ 5-6 รอบ สำหรับสลิงที่ยาวประมาณ 30 เมตร ถ้าคันไหนสลิงสั้น อย่างต่ำก็ประมาณ 7-8 รอบ เนื่องจากความชันบวกกับความลื่นตามสไตล์ของดินป่าไผ่ เป็นไปไม่ได้เลยว่าจะเร่งส่งเพื่อให้รถผ่านไปในครั้งเดียว
ทริปนี้เราเลือกเดินทางมาในช่วงหน้าแล้ง เนินนี้จึงไม่ค่อยสร้างปัญหาให้กับรถทั้ง 8 คันเท่าไรนัก ส่วนใหญ่ใช้เกียร์ 2L เร่งรอบช่วยพอประมาณ (หากเร่งแรงไปก็จะเกิดอาการปั่นฟรีทิ้ง) ก็สามารถผ่านไปได้แบบหืดขึ้นคอเหมือนกัน โดยเฉพาะรถที่มีซี.ซี.น้อยๆ อย่าง SUZUKI CARIBIAN เนินที่ขบวนของชาวยุทธหัตถีฯผ่านมานั้น เป็นจุดที่เส้นทางบรรจบกับทางไปน้ำตกกะทะทอง ซึ่งถ้าหากมาจากน้ำตกกะทะทอง เนินที่เราขึ้นมานี้ก็จะกลายเป็นทางลงไปออกยังบ้านทองหลางด้านล่าง
ผ่านเนินนี้ไป เส้นทางก็ยังเต็มไปด้วยเนินน้อย-ใหญ่อยู่เช่นเดิม จนกระทั่งถึงยอดเขาด้านบน ได้หายใจหายคอกันพักใหญ่ จากยอดเขาสูง เส้นทางก็ค่อยๆ ลาดชันลงมาเรื่อยๆ ไม่ทันค่ำขบวนรถทั้งหมดก็เดินทางทะลุมาออกที่บ้านใหม่ร่มเย็น บรรจบกับทางลาดยางบ้านอีหมาด-อีทราย และใช้เวลาวิ่งย้อนกลับออกมาอีกราว 40 นาที ก็เดินทางถึงบ้านไร่คอทเทจ อ.บ้านไร่ เพื่อร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองครบรอบ 14 ปี ของชมรมยุทธหัตถีสุพรรณบุรีออฟโรด ท่ามกลางบรรยากาศอันชื่นมื่น และอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งมิตรภาพ
ที่ไม่เคยจางเลือนหายไปตามกาลเวลา…
ร้อยแปดพันเก้า กับปัญหาการขับรถขึ้น–ลง เนินชัน
การขับขึ้น-ลง เนินนั้น มีข้อปฏิบัติอยู่ด้วยกันหลายข้อ เริ่มจาก ควรปรับเบาะให้ตั้งตรงกว่าปกติ เพื่อทัศนวิสัยที่ดีกว่า จะช่วยให้ผู้ขับไม่ต้องโหนพวงมาลัย เพื่อดึงตัวเองในการมองเส้นทางข้างหน้า
รอให้รถคันหน้าขับขึ้นให้ถึงยอดเนินเสียก่อน จึงค่อยขับตามขึ้นไป ในกรณีขับเป็นขบวน เพราะถ้าคันหน้าไม่สามารถขึ้นได้ จำเป็นต้องถอยหลังก็จะไม่สามารถถอยหลังได้ จึงทำให้เสียเวลาและอาจเกิดอันตรายได้
ถ้าเป็นการฝึกหัดขับสำหรับผู้ที่ยังไม่มีทักษะ แนะนำให้ใช้ WALKING SPEED ที่เกียร์ 4L เป็นหลัก อาศัยแรงบิดในการไต่ขึ้น และจะกลายเป็นแรงฉุด (ENGINE BRAKE) ในทางขาลง แต่ก็ขึ้นอยู่กับพื้นผิว ความลาดชันมาก-น้อย และระยะทางของเนิน ควบคุมคันเร่งให้พอที่จะไต่ขึ้นถึงยอดเนิน และไม่ควรขับขึ้นไปด้วยความรุนแรง เพราะถ้ารถขึ้นถึงจุดสูงสุดก็อาจพุ่งลอยทั้งคัน ทำให้ไม่สามารถควบคุมรถได้ ทันทีที่ถอนเท้า WALKING SPEED ก็จะทำหน้าที่ดึงรถโดยอัตโนมัติ
หากเป็นเนินชันยาว ควรเปลี่ยนเกียร์มาใช้เป็นเกียร์ 2 ที่ 4L เพราะเป็นเกียร์ที่ยังมีแรงบิดที่สูงพอเพียง และความเร็วที่จัดกว่าเกียร์ 1-4L ทำให้ล้อสามารถหมุนได้จัดกว่า ในรอบเครื่องที่เท่ากัน และเร่งส่งตั้งแต่ตีนเนิน และไม่ควรเปลี่ยนเกียร์กลางเนิน เพราะถ้ารอบเครื่องตกก็จะไม่สามารถขับขึ้นต่อไปได้ และอาจเกิดอันตรายหากรถไหลกลับหลัง เพราะไม่สามารถเบรกให้หยุดได้ ส่วนในช่วงขาลง WALKING SPEED ของรถออฟโรดจะเปลี่ยนจากการไต่ในขณะขับขึ้นเนินมาเป็นการดึงในขณะขับลงเนิน หรือ ENGINE BRAKE จะทำให้มีความปลอดภัยมากกว่าการใช้เบรกแต่เพียงอย่างเดียว หากต้องการใช้เบรกช่วยก็สามารถกระทำได้ แต่ห้ามเหยียบเบรกอย่างรุนแรง เพราะล้อจะล็อกทำให้รถพุ่งลงจนไม่สามารถควบคุมได้เลย รถจะขวางลำโดยอัตโนมัติ และอาจเกิดการพลิกคว่ำ
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.