การเดินทางผจญภัยในป่าลึกบนเกาะสุมาตรา 2000 กม.

กลุ่มชาวออฟโรดของอินโดนีเซียต้องใช้เวลาเตรียมตัวล่วงหน้าหลายเดือน ก่อนจะร่วมกันจัดงานใหญ่ระดับนานาชาติ โดยมีกำหนดการเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา มีรถออฟโรดที่จัดเตรียมอุปกรณ์การเดินทางผจญภัยไว้อย่างครบครันกว่า 75 คัน พร้อมผู้ขับ ผู้นำทาง เพื่อจะพิชิตเส้นทางหฤโหด 2,000 กม.ในป่าลึกบนเกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย ทั้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์เดียวคือ การนำรถทั้งหมดไปให้ถึงเส้นชัย ณ จุดฟินิชที่ อนุสาวรีย์ชัย สมรภูมิของอินโดนีเซีย (The National Monument of Indonesia) ที่ตั้งตระหง่านบนความสูง 132 เมตร ณ จตุรัส Merdeka  ใจกลางกรุงจาร์กาต้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้สู่อิสรภาพ ของชาวอินโดนีเซีย

ทีมผู้ร่วมเดินทางผจญภัยครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นมือออฟโรดชาวอินโดนีเซียและทั้งหมดก็เคลื่อน ขบวนไปรวมตัวกัน  ณ จุตสตาร์ทที่เมือง Palembang ซึ่งตั้งอยู่ภายในเกาะสุมาตรา ซึ่งมีทีม จากเกาะสุมาตราใต้, ทีมจากเกาะชะวา (Java), ทีมจากเกาะบาหลี และทีมจากกาลิมันตัน ส่วนชาวต่างชาติที่มาร่วมงานครั้งนี้มาจาก มาเลเซีย, เวียดนาม, อังกฤษ, อิตาลี และ ฮอลแลนด์ ซึ่งแต่ละคนมีประสบการณ์ในการเดินทางผจญภัยแบบนี้มาแล้วอย่างโชกโชน

ในช่วงเดือนกรกฏาคมปีที่แล้ว ผม (Fred) ได้รับอีเมลจากเพื่อนที่แสนดีชาวอินโดนีเซีย 2 คน Tinus และ Syamsir สอบถามผมว่า พร้อมที่จะไปลุยผจญภัย ในป่าเกาะสุมาตราในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ด้วยกันรึไม่ ผมใช้เวลาไม่นานในการตัดสินใจ จึงตอบตกลงเดินทางไปร่วมงานครั้งนี้ พร้อมทั้งจัดการจองตั๋วเครื่องบิน แล้วก็เดินทางก้าวเข้าสู่แผ่นดินอินโดนีเซียวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เข้าพักที่กรุงจาการ์ต้า 1 คืน และวางแผนการเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้นร่วมกับทีมงานบางส่วนขึ้นเครื่องบินภายในประเทศไปลงที่เมือง Palembang บนเกาะสุมาตราใต้ ที่โรงแรม Novotel ในเมือง Palembang เป็นที่พัก และรวมกลุ่ม die-hard ชาวออฟโรดที่เตรียมรถกันมาอย่างสมบูรณ์ พร้อมเติมน้ำมันเต็มถัง ทุกคันและซื้อเสบียงใส่กล่องและน้ำดื่มอาหารให้เพียงพอกับการอยู่รอดในป่าดิบและเส้นทางตลอด 16 วัน

ผมอยู่ร่วมรถ Toyota Fortuner 4×4 กับมือออฟโรด 2 คน Herman Harsoyo และ Ero Kebo Ireng ซึ่งทั้งคู่มีประสบการณ์จากงาน 2012 Borneo Safari มาแล้ว เราซื้ออาหารดิบจากหมู่บ้าน พร้อมทั้งเติมน้ำมันใส่ถังสำรอง ก่อนจะออกเดินทาง รถคันเราเบอร์ 120  สติ๊กเก้อร์ “Official Media Team” เราพร้อมออกเดินทางจากเมือง เข้าสู่ป่าดิบร้อนชื้นที่เป็นหลุมเป็น โคลนตลอดทาง

หลังจากพักในเมือง Palembang 2 คืน ทำการตรวจสภาพรถแล้วก็มีพิธีปล่อยรถอย่างเป็นทางการวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ขบวนรถทั้ง 75 คันพร้อมออกคอนวอยจากตัวเมืองเกาะสุมาตราใต้ มุ่งหน้าสู่เกาะชวาโดยเรือเฟอร์รี่ข้ามทะเลเป็นวันสุดท้ายซึ่งจากนี้ไปอีก 14 วันกับระยะทาง 2,000 กม. เราต้องนำรถทั้งหมดไปให้ถึงเส้นชัยที่ Monas Monument ซึ่งต้องผ่านอุปสรรคมากมายบนเส้นทางที่มีแต่ หลุมโคลน ทางลื่น ข้ามน้ำลึก ขึ้นเขาลงห้วย ซ่อมสะพานซุง ที่หักพัง และการใช้วินช์ ตามสถานการณ์ที่จำเป็น ซึ่งรถทุกคันต้องติดตั้งวินซ์ของ WARN 8274 ที่สามารถจะรับมือกับงานหนักแบบนี้ได้อย่างแข็งแกร่งตลอดการเดินทาง

การเดินทางเส้นทางแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ 3 กลุ่มๆละ 25-30 คัน และในแต่ละกลุ่มยังต้องแยกย่อยเป็นกรุ๊ปเล็ก 4 ถึง 5 คัน เป็นการผสมผสานรถใหญ่รถเล็กหลายหลายยี่ห้อ โตโยต้า Land Cruiser, จี๊ป, แลนด์โรเวอร์, Discovery, Range Rover, ซูซูกิ, ไดฮัทสุ ฯลฯ ที่จะต้องวางกลยุทธ์ในการพิชิตเส้นทางของกลุ่ม 30 คัน จะจัดชุดนำหน้า 5 คันแรกคืบคลานสะสางเส้นทางไปก่อน แล้วให้กลุ่มหลังๆตามมา พอได้ระยะทางช่วงหนึ่งก็จะสลับเอากลุ่ม 5 คันต่อๆไปขึ้นมานำทางหมุนเวียนกันตลอด

พอกลุ่ม 30 คันแรกผ่านไปอีก 2 กลุ่มหลังที่ตามมาเมื่อเจอทางโคลนล้อรถหลาย ๆคันก็ปั่นร่องลึกมากขึ้นทางกลับยากลำบากมีอุปสรรคมากยิ่งขึ้น บางทีก็ต้องฉุดกระชากลากถูช่วยเหลือกันออกจนครบทุกคัน และทางบางช่วงก็เป็นดินสไลด์ปิดทางก็อาจจะล่าช้าที่ต้องใช้วินช์ดึงรถข้ามไปให้ได้ ด้วยกลยุทธ์และประสบการณ์ของชาวออฟโรดเพื่อผ่านไปให้ได้

ตลอดเส้นทางแบ่งจุดพักกลางคืนเป็น 14 base camps ใครมาถึงก่อนก็เข้าพักเพื่อ เตรียมตัว เดินทางในวันรุ่งขึ้นต่อไป การเดินทางผ่านไปด้วยความเรียบร้อยใน 5 base camp เส้นทางไม่ยากนัก มีข้ามน้ำและทางชันบ้างเจ้าวินช์ 8274 ทำงานช่วยให้ผ่านไปได้ตามเวลาโดย Co driver ทำหน้าที่นำทางและลากสายวินช์และชี้ร่องทางให้กับผู้ขับต่างคนต่างทำหน้าที่กันอย่างแข็งขันและเป็นึความโชคดีที่ไม่มีฝนตกลงมาซึ่งช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นฤดูมรสุมด้วยส่วนพวกเราต้องติดแหง็กพักกลางทางที่ห่างจาก base camp 4 ไปเพียง 300 เมตรบนยอด เขา ซึ่งทีมงานได้พยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อจะไต่ขึ้นทางลาดชันสูงไปให้ได้ เป็นช่วงแอ็คชั่นอันสุดยอด บางคันก็ต้องหลบอยู่ข้างทางทั้งซ้ายและขวา มีวิธีเดียวคือ จะต้องหาวิธีวินช์ขึ้นไปให้ได้เท่านั้น สุดท้ายกลุ่มของเราตัดสินใจหันหัวรถกลับทางเดิมและหาทางจาก base camp 4 เดินทางไปกลางดึกไป base camp 5 แต่เราโชคร้ายฝนมรสุมเทลงมาทำให้ทางลื่นสุดๆ ยาง

Super Swampers, Simex Jungle Trekkers, และยางอินโด GT Radial Komodo ต้องปั่น ทำงานอย่างหนักและบางช่วงก็ต้องวินช์ให้เคลื่อนตัวไปได้กว่าจะผ่านคืนอันโหดร้ายออกมาจนถึง base camp 5 เอาเมื่อกลางดึกด้วย ความเหน็ดเหนื่อยได้หลับพักผ่านเพียงนิดเดียว

และวันรุ่งจะต้องออกแต่เช้าตรู่ต่อสู้กับเส้นทางในป่าดินที่จัดว่ายากที่สุดจาก base camp 5 ไปยัง  base camp 4 เพื่อไปร่วมคอนวอยกับกลุ่มรถอีกส่วนหนึ่งหมดเวลาไปอีก 1 วัน ตัวผมเองสุดท้ายต้องเดินเท้าจมโคลนกลับมายัง base camp และต้องพักอีก 1 คืน โดยผู้นำคอนวอยแนะนำให้ Media Teams ทั้งหมดเดินทางไปตรงไปพักที่ base camp 7 ได้เลย เนื่องจากกว่ารถจะออกมาหมดทุกคันต้องใช้เวลาอีกนาน Base camp 7 สะดวกกว่าเดิมตั้งอยู่ในหมู่บ้านกลางป่า ไม่ช่วงเวลาต่อมารถก็ทยอยกันมาถึงชาวบ้านก็ให้การต้อนรับ และพวกเด็กๆ ก็ได้เห็นผู้คนแปลกหน้าและรถหน้าตาแปลก ๆ ความสนุกสนานก็เป็นส่วนหนึ่ง Medial Team อยากจะรู้ว่ารถแลนด์โรเวอร์เก่า ๆของเขาจะบรรทุกเด็กได้กี่คนโดยขับไปรอบๆหมู่บ้าน

เราได้รับการสื่อสารทางวิทยุให้เดินทางข้ามแม่น้ำไปยัง base camp 8 ทำให้ชาวบ้านที่สองฝั่งแม่น้ำออกมาดูรถกันทั้งหมู่บ้านเพื่อไปรวมกลุ่มกันแล้วเดินทาง back track จาก base camp 6-7 กลับไปยัง base camp 5 เนื่องจากมีดินภูเขาสไลด์ลงมาปิดเส้นทางไม่สามารถจะผ่านได้ เราใช้เส้นทางปกติวันที่ 9 และ 10 เพื่อมุ่งหน้าไปยัง base camp 11 ออกสตาร์ทช่วงต่อไป ทางกลุ่มหน้าแจ้งมาว่าต้องใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง และก็ไม่รู้ว่ากลุ่มกลางและกลุ่มหลังต้องใช้

เวลานานเท่าไรกว่าจะถึงอนิจจา 3-4 ชั่วโมงของมันกลายเป็น 3 วันที่แสนสาหัสที่สุดๆกับแทร็กที่ลื่นหลุมบ่อโคลนตลอด อีกทั้งขึ้น-ลงทางลาดชันตลอด ผมออกมายืนนอกรถเก็บภาพ die-hard ของชาวออฟโรดตัวจริงเขาต่อสู้ตั้งแต่กลางขบวนไปถึงท้ายขบวน 3 วันที่อยู่ในป่า

ในวันแรกก็ยังพอไหวเราทำระยะทางได้ดีพอสมควรสู้มาทั้งวันทีมเราก็หยุดพักผ่อนกลางป่าเมื่อถึงเวลา 24.00 น.โดยใช้เปลผ้าใบกางนอนหน้ารถ วันที่สองเราลุกขึ้นมาสู้ต่อตั้งแต่เช้าตรู่ใช้เวลาไป 15 ชั่วโมงได้ระยะทางมา 600 เมตร !!! รถคันที่อยู่หน้าเราพังคาหลุมโคลนขวางทางหมดไปไหนไม่ได้ต้องรอซ่อมและเป็นคืนที่สองที่ต้องนอนกลางป่าอีกคืน ก็ได้แต่หวังว่าหลังจากนอนหลับพักผ่อน แล้วตื่นขึ้นมาเรามีพลังสู้ต่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง แต่เราโชคร้ายอีกครั้งหม้อน้ำแตกจอดซ่อมกันเสียเวลาไปอีก 2 ชั่วโมง และสุดท้ายเราก็ออกมาได้เข้ามาถึงในหมู่บ้านกลางป่า

จัดการล้างเนื้อล้างตัวและล้างรถพร้อมกันไปด้วยอีกทั้งได้กินอาหารท้องถิ่นจากชาวบ้านผู้ใจดี

มีรถกลุ่มหน้าจำนวนราว ๆ 30 คันสามารถผ่านตามเส้นทางจาก base camp 11-12-13 ออกมา ได้สำเร็จ หลังจากพักผ่อนและร่วมประชุมกันแล้ว ก็เคลื่อนขบวนคอนวอยไปตามทาง 300 กม. มุ่งตรงไป base camp 14 ริมชายหาด Kalianda ถ้าเป็นถนนในยุโรปคงใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงกับ ระยะทาง 300 กม.คงไม่ยาก แต่นี่คือ ถนนในอินโดนีเซียเราต้องใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนถึง 21 ชั่วโมง ถนนเป็นแบบ 2 เลนรถวิ่งสวนกันที่คราคร่ำไปด้วยรถท้องถิ่น มอเตอร์ไซค์และรถบรรทุก ซี่งวิ่ง ๆหยุด ๆไม่มีทางที่จะใช้ความเร็วได้เลย กว่าจะถึงเอาเช้าวันรุ่งขึ้นที่จุด Re-group ที่ Kalianda บีชรีสอร์ท

คณะผู้ร่วมงานทั้งหมด The Indonesian Offroad Expedition รวมตัวกันคอนวอยมุ่งหน้าสู่ท่าเทียบเรือ Bakaihuni ในวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ นำรถทั้งหมดลงเฟอรี่ชื่อเรือ Jatra II จากเกาะสุมาตราใต้สู่เกาะชวา ใช้เวลาราว 3 ชม. จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่จุดสุดท้าย และพักค้างคืนแบบแคมปิ้ง 1 คืนบนเกาะชวาก่อนที่จะร่วมคอยวอยในวันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ เดินทางเข้าเมืองหลวงกรุงจาการ์ต้า ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (National Monument) เพื่อเป็นการเฉลิม

ฉลองในวันสุดท้าย รถทุกคันและทุกทีมกลับมาอย่างปลอดภัยและก็ถึงเวลาที่ต้องลาจากกันเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพทุกคน คงเหลือไว้แต่ภาพถ่ายและความทรงจำที่บันทึก ไว้กับการเดินทางผจญภัยที่สุดหฤโหดครั้งนี้

ส่วนแผนการเดินทางผจญภัยในปีหน้า 2015 ได้กำหนดไว้แล้วประมาณ 2,000 กม. แต่เป็นเกาะอื่นในอินโดนีเซียที่ไม่ซ้ำกับเส้นทางครั้งนี้ ผม (Fred) จะแจ้งให้ทราบในลำดับต่อไป ซึ่ง ทางผู้จัดงานจะรับสมัครรถจากนานาชาติ 10 คัน ที่ไม่ใช่รถของอินโดนีเซีย ซึ่งอาจจะเป็นรถจากยุโรป จากอเมริกา หรือจากอเมริกาใต้ ใครสนใจก็ดูข้อมูลจากหนังสือที่มีข้อมูลเรื่องนี้

SONY DSC
SONY DSC
SONY DSC

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    Cookies Details

Save