กลิ่นควันไฟ และไอร้อนระอุ แห่งภูโน ขอนแก่น…
ความอ่อนล้า จากความผิดหวังที่หลายๆ คนหวังว่าจะให้โลกสวยๆ ใบนี้ ดับสลายไปเมื่อปลายปี 2012 นานับเหตุการณ์ที่นำมาปะติดปะต่อกัน จนเกิดเป็นกระแสไปพักใหญ่ สุดท้ายทุกคนก็ยังเหลือลมหายใจอยู่เต็มปอด..และสุดท้ายทุกคนก็คงจะกลับมามองโลกในแง่ดีๆ มากขึ้น
เช่นเคยครับ..เมื่อโลกไม่แตก ร้อนนี้ เหล่าบรรดาฮาร์ดคอร์จากออฟโรดอีสานตอนบน จึงมีนัดกันดับความกระหายคลายร้อน เหมือนกลัวเฟืองท้ายจะเป็นสนิม ต้องมาชโลมน้ำมันหล่อลื่นกันอีกรอบ โดยเฉพาะ ป้อม (กฤษฎี ราชธา) ประธานชมรมขอนแก่นออฟโรดใหม่หมาดๆ มือเก๋าของน้องๆ เจ้าภาพทริปนี้…นัดพวกเรามาที่ ภูโน
ณ วันนี้ ภูโน อ.กระนวน จ.ขอนแก่น แตกต่างจากเมื่อกลางปีที่แล้วกับฤดูใบไม้ผลัด ธรรมชาติที่ถูกเร่งเร้าด้วยมนุษย์ ทิ้งจำเลยไว้ว่าเกิดจากไฟป่า…ผมมองไปรอบเขาเป้าหมายที่จะไป มันช่างโมโนโทนจริงๆ น้ำตาลล้วนๆ ทินกร ปาโท หนุ่มน้อยอนาคตไกล ศิษย์รุ่นน้องคอกเดียวกับผมในรั้วมหาวิทยาลัย เจ้าของศูนย์กสิกรรมธรรมชาติบ้านบุญ อ.กระนวน แห่งภาคอีสาน เป็นตัวจักรสำคัญอีกคนในทริปนี้ ที่เรียกเพื่อนพ้องพี่น้องกว่า 20 คัน มาสัมผัสความเป็นภูโน อีกบรรยากาศอันแสบร้อน…ถึงทรวง จากกลิ่นควันไฟและไอระอุแห่งพยับแดดร้อนแรง
พระเจ้า…กลางคืนต้องนอนห่มผ้าที่ 17 องศาเซลเซียส กลางวันต้องเดินแก้ผ้าที่ 37 องศาเซลเซียส กับเส้นทางที่ผมเองยังไม่เคยไป แต่ที่แน่ๆ ถ้าขอนแก่นออฟโรดจัดทริปเมื่อใด ไม่หิน…ก็เหาะ ครับพี่น้อง…
กว่า 09.30 น. ของเช้าวันเสาร์ ชมรมขอนแก่นออฟโรด, ชมรมจอมพลัง4WD, ชมรมกาฬสินธุ์ออฟโรด, ชมรมกระทิงดง4WDอุดรธานี, ชมรมตระเวนไพร, ชมรมฅนพันธุ์ X และกลุ่มฟูตม เรานัดหมายกันที่ ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติบ้านบุญ เครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ (คกช.) มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ตำบลห้วยยาง อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ของ ทินกร (หิ่งห้อย) จากจุดนี้ไปอีกประมาณ 3 กม. ลัดเลาะไปตามชายป่าเศรษฐกิจของชาวบ้าน ซึ่งไม่แปลกใจว่าทำไมอากาศมันร้อนระอุ เพราะบางช่วงเรายังเห็นการเผาอ้อยทั้งไร่ กลางวันร้อนๆ เนี่ยแหละ และเลยเข้าไปในป่าซึ่งไม่มีทางที่จะดับทันแน่นอน…เราขับรถกินฝุ่นสักพักใหญ่ ถึงชายป่าภูโน ที่ยืนท้า อ้าแขนรับเราอยู่เบื้องหน้า โอบเราเข้าไปสู่อ้อมกอดด้วยแท่งหินและภูผา ข้างนั้นเป็นร่องน้ำขนาดใหญ่ที่หลายคันอดใจไม่ได้ที่จะนวดแหนบ อุ่นเครื่องอวดบั้นท้ายให้พร้อมโดนลงหวายในเส้นทางข้างหน้า ซึ่งแน่นอนว่าเป็นหินแล้งล้วนๆ การวางแผนการเดินทางจึงเกิดขึ้น
ป้อม (สุภัทรดิส ราชธา) ปรมาจารย์ออฟโรดคนหนึ่งของภาคอีสาน ทริปนี้ยังไว้ใจได้เสมอในการบอกไลน์คนขับ สร้างความอุ่นใจและปลอดภัย เมื่อเห็นพี่แกโบกไม้โบกมืออยู่เบื้องหน้า เหมือนเป็นเครื่องหมายการค้าว่า “เมื่อใดที่พี่แกบอกไลน์…กูรอดชัวร์” การวางแผนก่อนไต่ทางลาดชันที่ผูกกับดักด้วยหินลอยน้อย-ใหญ่ บนดินแห้งซุย ต้องเชื่อเนวิเกเตอร์อย่างเดียวครับ และป้อมก็คือหนึ่งในนั้นที่ผมไว้ใจทุกทริปที่ไป
หลายครั้งที่การเล่นปีนหินบนยอดเขาสูงขนาดนี้ ก่อให้เกิดอันตรายกับสมาชิกนับไม่ถ้วน ถึงแม้คนบาดเจ็บไม่มาก แต่รถพังเสียหายยับ ฉะนั้นทริปนี้พวกเราพยายามกำชับเรื่องของการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยกเว้นยาแก้ไอ และต้องเชื่อฟังคนบอกไลน์คนเดียวเท่านั้น เพราะคนหวังดีรอบรถเรามันมีมากเหลือเกิน จนไม่รู้จะฟังใคร แต่ก่อนอื่นเราต้องเช็กตัวเองก่อน โดยเฉพาะเรื่องของลมยาง ที่ต้องเหมาะสมกับการปีนหิน กับความแหลมคมของไม้แห้งๆ
เนินแรกยังเป็นน้ำจิ้มของหลายๆ คน แต่มันเป็นน้ำจิ้มที่รสเผ็ดใช้ได้ทีเดียวครับ ความสูงสักประมาณ 20 กว่าเมตร แต่ความชันระดับหมากลิ้งได้สบายๆ ทำเอาเหล่าฮาร์ดคอร์ต้องชะลอ ถอยยืนมองทำใจกันอยู่นาน โดยเฉพาะ อ็อด กระทิงดง รองประธานภาคฯของผม ที่พกเมียเปอร์เซีย เอ้ย…แมวเปอร์เซียตัวงามกับคนเลี้ยงแมวมาด้วย ยืนทำใจอยู่นาน “ก็มันชันนี่หว่า ตรูยังรักชีวิตอยู่นะโว้ย เมียก็ยังสาวอยู่ด้วย” (อันท้ายนี้ผมต่อให้เอง 55555) มันก็น่ากลัวอยู่หรอกครับ ทางชัน อากาศร้อน ทางบิดตัว และหินลอยที่เบรกเมื่อใด หินเหล่านั้นก็พาคุณไหลลงไปเอง
เกือบสองชั่วโมงกับระยะทางแค่ 20 เมตร ค่อยๆ หย่อนก้นกันลงมา ทำให้พลังงานหมดไปกับการลุ้น พร้อมกับอะดรีนาลีนที่พรั่งพรูออกมาว่า…หิวววววว
พระเจ้า…พูดปั๊บ เหลือบมองเห็นแม่ค้าเดินเท้ามาแต่ไกลๆ พร้อมเสบียงส้มตำ ไก่ย่าง ปลาเผา ข้าวเหนียว เพียบ นี่ถ้ายกมาได้ทั้งร้านคงมาแล้วมั้ง ป้อม ยุติการเดินทาง SS แรก เอาไว้ แล้วทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเดียว…รุมกินโต๊ะอาหารแม่ค้าเมื่อกี้ครับ…โอ้วววอาหารอีสานล้วนๆ แบบไร้แอลกอฮอล์
บ่อน้ำปลักควายใกล้ๆ นั่นคืออุปสรรคต่อไปสำหรับคนที่ต้องการเล่นกับบ่อโคลนตื้นๆ แต่ก็ลื่นจับใจ เป็นที่ต้องการของ กลุ่มฟูตม เป็นอย่างยิ่ง (ฟู =ลอย โผล่, ตม =โคลน เลน) ของชอบเขาหละ ช่างตึ๋ง ฟูตม วาดลวดลายสลายบ่อโคลน จนปลิงเวียนหัว ก่อนจะเดินทางต่อไปในเนินบังคับลงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่หนุ่มหล่อเมืองกระนวน บักโจ ลงไปชิมก่อนแล้ว ด้วยการปักหัวเหมือนยีราฟกินน้ำ ตามด้วย วัฒนา ที่ต้องตะแคงกายเบียดร่องลึกลงตามไปติดๆ ไม่รู้พี่แกกินอะไรลงไป วันนี้คึกคักผิดปกติ แต่ SS 2 นี้ ที่ผ่านฉลุย ก็มาสด้า 5 ไร้กระจก ของ พร ฅนพันธุ์ X ที่อาศัยแรงยุ และพรสวรรค์ขั้นเทพ ขับผ่านไปได้อย่างสบายๆ
เราลัดเลาะขึ้นไปตามทางลาดชัน ไต่ระดับบนหินก้อนน้อย-ใหญ่ ความยาก-ง่าย มีให้เห็นตลอดเส้นทาง ซึ่งทุกจุดต้องใช้สมาธิการขับขี่ เหม่อลอยไม่ได้เลยครับ…ความแห้งแล้งของป่าฤดูร้อนตอนนี้ มันช่างเจ็บแสบทั้งตัวจริงๆ แต่คนออฟโรดอย่างเรายังมีอารมณ์ขัน หยอกล้อ คลายเครียด แซวผ่านวิทยุตลอดเวลา ส่วนหนึ่งก็เป็นการฉุดดึงหนังตาที่หย่อนไปกับข้าวเหนียว ไก่ย่าง เมื่อสักครู่ แค่นี้ก็เรียกรอยยิ้ม ไม่ง่วงได้แล้วครับ เสน่ห์ของอีสานเขาหละ
“…ถึงยอดภูโนแล้วครับ !!” เสียงตะโกนมาแต่ไกล คนข้างหลังก็ดีใจ แต่ลืมนึกไปว่าขึ้นถึงยอด มันก็ต้องลงเขา..ใช่ มันต้องลงเขา แล้วมันตรงไหนหละ มองดูรอบกาย มีสองเส้นทางครับ เป็นทางธรรมดากับเหว เลือกเอา ทุกคนที่มีสติ เลือกทางธรรมดากันครับ แค่เฉพาะทางธรรมดาเนี่ย..พ่อเอ๋ย ! นรกชัดๆ แข้งขาอ่อนไปตามๆ กัน เพราะมันทั้งสูง ชัน เอียง ลูกรังหินลื่นไถล รวมกันเป็นคำว่า เสียวววว…การแตะเบรกแรงๆ เพียงครั้งเดียวอาจถึงที่หมาย 50 เมตรข้างล่างเร็วกว่ากำหนดแบบหลายตลบ จากนั้นก็ต้องเลือกเอาว่าจะทะยานขึ้นฟ้ากว่า 45 องศา เนินถัดไป หรือจะยอมเสียสละสีข้างรถ กับร่องตัว V ที่แข็งกระด้าง ก่อนลงเนินนี้ คันหลังๆ เริ่มเป็นงานว่าจะไปร่องไหน เขาเรียกว่าเห็นช้างขี้ไว้แล้ว ต้องไปตามนั้น แต่ที่อันตรายที่สุด น่าจะเป็นคนบอกไลน์อย่างป้อมที่ต้องคอยบอกทางรถทุกคัน กลางทางชันทีเดียว ถ้าพลาดกลิ้งอย่างเดียว กระนั้น ยังต้องหาอีกคนมาบอกไลน์ต่อเป็นช่วงไป ก่อนถึงเบื้องล่าง
น่ายินดีครับ เพราะลองถามทุกคนที่ผ่านสมรภูมิออฟโรดมาหลายปี บอกว่าทริปนี้ครบรสจริงๆ ตื่นเต้น ไม่เล่นแบบบ้าบิ่น มีสติ และเป็นพลังในการเผชิญทริปหนักๆ ต่อไปได้สบาย คนปลอดภัย รถไม่บอบช้ำมาก ส่วนหนึ่งเพราะทุกคนระมัดระวัง เชื่อฟังเนวิเกเตอร์และคนบอกไลน์อย่างแม่นยำ…เราจอดพักหายใจหายคอกันพักหนึ่งที่กระท่อมน้อยยอดเนิน ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ ใครมีน้ำแข็ง น้ำเปล่า น้ำขิง อัดกันเต็มที่ก่อนที่เราจะอ้อมกลับอีกด้านของภูโน ภูเขายอดเล็กริมเขื่อนลำปาวที่แห้งขอดขณะนี้
เราเคลื่อนขบวนไปตามริมยอดเขาที่แห้งกรัง จากไฟป่าแบบไร้เส้นทาง…อึดใจใหญ่ หุบผาหินตั้งวางรอเราอยู่นานแล้ว เอาละเว้ย เจอของจริงตอนใกล้จบอีกแล้ว เล่นเอาปาดเหงื่อกันเป็นชั่วโมง ใครมีทักษะอะไรงัดออกมาใช้กันให้หมดในจุดนี้ เพราะนี่คือการเล่นกับหินของจริง ข้างล่าง 80 กว่าเมตรเห็นจะได้ ชันหัวปักอีกแล้ว แถมปูพื้นไปด้วยหินก้อนเบ้อเร่อ เรียงรายกันอย่างไร้ระเบียบ ดักรอ ล้อและเพลาอย่างใจเย็นนานนับ 100 ปี รอบเครื่องยนต์ จังหวะการแตะเบรกและเหยียบคลัตช์ นั่นหมายถึงการลงไปถึงข้างล่างอย่างสวยหรู หรือนั่งกินข้าวลิงทั้งคืน…และมีเพียง 16 คันที่รอดจากกับดักหินออกมาได้ ที่เหลือต้องย้อนกลับไปเลียแผลที่เส้นทางเดิม ท้องทุ่งนาข้างล่างคือจุดหมายที่ทุกคนต้องการ นั่นหมายถึงรถและคนจะกลับถึงบ้านแน่นอน ถ้าไม่แวะเกเรที่ไหนซะก่อน
มนต์เสน่ห์ของภูโน เป็นอย่างไรต้องรอให้พี่น้องออฟโรดมาเยือนอีกครั้งอย่างแน่นอนครับ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน มันจะเป็นหนังคนละม้วนกันเลยทีเดียว รับรองว่าจะหลงเสน่ห์ภูโนกันทั้งวันทั้งคืนแน่นอน ไม่ได้ติดใจธรรมชาติเท่าไหร่หรอกครับ…แค่มันออกมาไม่ได้ ภูโนจึงเป็นเส้นทางออฟโรดอีกแห่งหนึ่งของภาคอีสานที่น่าสนใจครับ เราสามารถเยี่ยมชมศูนย์กสิกรรมธรรมชาติบ้านบุญ ตัวอย่างกิจกรรมของคนออฟโรดพอเพียง พออยู่พอกิน อย่าง ทินกร ปาโท ไม่แน่คุณอาจจะเปลี่ยนใจ หลีกหนีความสับสนวุ่นวายของสังคม ออกมากินแกงอ่อมกบ อ่อมเขียด แกงผักหวาน นอนบ้านดินอันอบอุ่น ก่อนวัดใจกันกับเส้นทางภูโน ที่มองเห็นไกลลิบเบื้องหน้า…
แล้วโทรมานะ 08-9575-8201 หิ่งห้อย ยินดีต้อนรับทุกชมรมครับ
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.