19 รถยนต์ไฮไลต์ที่ห้ามพลาดในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39!!!
เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการสำหรับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 ที่ชาแลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี โดยปีนี้มีความคึกคักมากเป็นพิเศษจากการที่หลายค่ายรถยนต์เลือกงานนี้เป็นเวทีเปิดตัวรถรุ่นใหม่ และมีการนำรถคอนเซ็ปต์คาร์มาจัดแสดงเพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสเทคโนโลยีความก้าวหน้าของวงการยานยนต์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
19 รถยนต์ที่ถูกยกเป็นไฮไลต์ของบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ปีนี้มีรุ่นไหนแบรนด์ใดบ้าง มาลองติดตามชมกันได้เลย
BMW X2 sDrive20i M Sport X
ราคา: 2.99 ล้านบาท
BMW X2 สมาชิกใหม่ล่าสุดในตระกูล X ของบีเอ็มดับเบิลยู ฉีกภาพลักษณ์แบบเดิม ๆ ด้วยดีไซน์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสปอร์ตทรงพลังตั้งแต่แรกเห็น โดดเด่นสะดุดทุกสายตา คล่องตัว ปราดเปรียวในทุกเส้นทาง
จาก X4 และ X6 มาสู่ BMW X2 ที่มาพร้อมรูปทรงโฉบเฉี่ยวและดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ผสานรูปลักษณ์สไตล์สปอร์ตคูเป้เข้ากับความแข็งแกร่งทรงพลังในแบบฉบับบีเอ็มดับเบิลยูตระกูล X โดยเป็นครั้งแรกที่กระจังหน้าไตคู่อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู มีรูปทรงส่วนฐานด้านล่างกว้างกว่าด้านบน สร้างมิติให้รถดูกว้าง และโฉบเฉี่ยวมากขึ้น พร้อมทั้งตอกย้ำความสปอร์ตด้วยช่องดักอากาศลวดลายหกเหลี่ยมBMW X2 มาพร้อมชุดแต่งรอบคัน M Sport X สร้างความสะดุดตาด้วยสเกิร์ตและซุ้มล้อสี Frozen Grey ตัดกับสีตัวถังอย่างลงตัว สร้างมิติความกว้าง และย้ำถึงเอกลักษณ์ความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ท่อไอเสียแบบคู่ยังสื่อถึงความทรงพลังของเครื่องยนต์ ในขณะที่ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาลาย Y-spoke ในสไตล์ M ขนาด 19 นิ้ว สะกดทุกสายตาด้วยเฟรมรอบซุ้มล้อรูปทรงเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ในสี Frozen Grey เช่นเดียวกัน
BMW X2 sDrive20i M Sport X ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo 4 สูบ ให้กำลังสูงสุด 192 แรงม้าที่ 5,000-6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 280 นิวตัวเมตรที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที เมื่อจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบ Steptronic คลัตช์คู่ 7 จังหวะ มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 7.7 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 227 กม./ชม.
อีกหนึ่งไฮไลท์อันโดดเด่นของ BMW X2 คือหลังคากระจกแบบ Panorama สองส่วน ส่วนหน้าสามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า สร้างความรู้สึกโล่งโปร่งสะดวกสบายด้วยแสงสว่างที่เพียงพอภายในรถ อุปกรณ์มาตรฐานอื่น ๆ รวมถึง หน้าจอ Control Display ขนาด 8.8 นิ้ว ปุ่มควบคุม iDrive พร้อมระบบสัมผัส ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่ที่กระจกหน้าฝั่งคนขับ (BMW Head-Up Display)
BMW M5
ราคา: 13.33 ล้านบาท
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยกระดับสมรรถนะเหนือชั้นของรถยนต์ซีดานหรูไปอีกขั้นสำหรับแฟนๆ ชาวไทย ด้วยการเผยโฉม New BMW M5 ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจากเทคโนโลยี M xDrive และสุดยอดขุมพลังเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ M TwinPower Turbo V8 ความจุ 4.4 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 600 แรงม้า
BMW M5 เจนเนอเรชั่นที่ 6 นัยเป็นหนึ่งในรถซีดานสมรรถนะสูงที่ประสบความสำเร็จมากทีสุด ด้วยนวัตกรรมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive ซึ่งไม่เพียงสร้างความเร้าใจในการขับขี่ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสง่างามในแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยู มีประสิทธิภาพความคล่องตัวสูงสุดด้วยการเน้นส่งกำลังขับเคลื่อนจากล้อหลัง ควบคู่กับการเพิ่มกำลังส่งจากล้อหน้าในกรณีที่พละกำลังขับเคลื่อนจากล้อหลังไม่เพียงพอและต้องการแรงฉุดลากที่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ความสปอร์ตอันโดดเด่นของ BMW M5 คือปุ่มสีแดง M1 และ M2 ติดตั้งกับระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับเปลี่ยน การตั้งค่าระบบต่าง ๆ ตามที่ต้องการได้ถึง 2 แบบเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าระบบ M xDrive ระบบควบคุมเสถียรภาพแบบไดนามิก (DSC) ระบบเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ ระบบระบายอากาศ ระบบการควบคุมพวงมาลัยไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งการตั้งค่ารูปแบบของการแสดงผลบน Head-Up Display
สำหรับเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ M TwinPower Turbo ให้พละกำลังสูงสุด 600 แรงม้าที่ 5,600–6,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตรที่ 1,800–5,600 รอบต่อนาที สามารถเร่งความเร็วจาก 0–100 กม./ชม. ภายใน 3.4 วินาที และ 0–200 กม./ชม. ภายใน 11.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 250 กม./ชม. โดยจะทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ M Steptronic 8 จังหวะ พร้อมระบบ Drivelogic เพื่อความแม่นยำ และรวดเร็วยิ่งขึ้นในการเปลี่ยนเกียร์
New BMW M5 เริ่มเปิดรับจองในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2018 ในราคาจำหน่าย 13,339,000 บาท พร้อมแพคเกจ BSI Standard ประกอบด้วยการบริการบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 60,000 กม. และการรับประกัน 3 ปีไม่จำกัดระยะทาง
Ford Ranger Raptor
ราคา: 1.69 ล้านบาท
สร้างความผิดหวังให้หลายคนที่รอลุ้นในงานเปิดตัวเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่คราวนี้งานบางกอก มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 Ford ประกาศราคาของรถกระบะสมรรถนะสูง Ranger Raptor อย่างเป็นทางการที่ 1.69 ล้านบาท พร้อมเปิดรับจองจากลูกค้าชาวไทยที่สนใจ เพื่อจะได้รับการส่งมอบรถภายในปี 2561
Ranger Raptor จะใช้ระบบขับเคลื่อนใหม่ที่ทรงพลัง ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลใหม่แบบ Bi-Turbo 2.0 ลิตร ที่มีพละกำลังสูงสุด 213 แรงม้า และแรงบิดที่มากถึง 500 นิวตันเมตร ส่งพละกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด จาก Raptor F-150 ผลิตจากวัสดุเหล็กกล้าอะลูมิเนียมอัลลอย และส่วนประกอบที่มีความทนทาน น้ำหนักเบา โดยเกียร์ 10 จังหวะ ทำให้มีอัตราทดที่แคบลง ส่งผลให้มีอัตราเร่ง และการตอบสนองที่ดีขึ้น รวมทั้งทีมวิศวกรทำการออกแบบให้เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วยแชสซีของ Ranger Raptor ผลิตจากเหล็กอัลลอย HSLA (High-Strength Low-Alloy) ได้รับการออกแบบใหม่มาเป็นพิเศษสำหรับการขับขี่ออฟโรดความเร็วสูง และทนต่อแรงกระแทกที่อาจเกิดจากการใช้งานแบบสมบุกสมบัน เพิ่มระยะช่วงล้อคู่หน้า และหลัง รวมทั้งเพิ่มระยะการให้ตัวของล้อได้มากขึ้น
จุดเด่นอีกอย่างคือโช้คอัพแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ที่จะเพิ่มแรงต้านเมื่อมีการกระแทกเต็มช่วงยุบกระบอกสูบ และจะลดแรงต้านเมื่อขับขี่บนถนนทางเรียบ เพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวล โดยจะใช้โช้คอัพนี้ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษโดย Fox Racing Shox ใช้ลูกสูบขนาด 46.6 มิลลิเมตร ทั้งคู่หน้า และหลัง ช่วงล่างถูกออกแบบมาให้มีระยะการให้ตัวของล้อสูงเพื่อความสามารถในการซับแรงกระแทกขณะขับออฟโรด แต่ด้วยระบบบายพาสภายใน (Internal Bypass technology) จึงทำให้การขับขี่บนถนนทางเรียบเป็นไปอย่างราบรื่น
Mercedes-Benz new CLS 300 d AMG Premium
ราคา: 4.98 ล้านบาท
ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวรถยนต์รุ่นที่ 3 ในตระกูล CLS สุดยอดยนตรกรรมสปอร์ตอัจฉริยะรุ่นล่าสุด The New CLS 300 d AMG Premium ที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และดีไซน์งดงามที่จะช่วยเสริมรากฐาน และเอกลักษณ์ของรถยนต์ตระกูลนี้ให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น พร้อมสามารถตอบโจทย์ความต้องการทั้งในด้านสมรรถนะ และสุนทรียะในการขับขี่ได้เป็นอย่างดี
ดีไซน์ภายนอกของ The new CLS 300 d AMG Premium มีจุดเด่นอยู่ที่กระจังหน้าแบบ Diamond-pattern Grille ที่มีเส้นตัดแบ่งเส้นเดียวอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์แบบคูเป้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเส้นสายที่ดูกว้าง และมีลักษณะทอดตัวลงไปที่พื้นคล้ายกับรถสปอร์ต Mercedes-AMG GT รูปทรงของไฟหน้าที่ดูราบเรียบไปกับตัวถังยังได้รับการออกแบบให้มีเหลี่ยมมุมสอดรับกับเส้นสายบริเวณกระจังหน้าอย่างลงตัว ด้านข้างตัวรถเสริมความสง่าด้วยลายเส้นที่อยู่สูง และลากเป็นวงโค้งตลอดคันรถ พร้อมมีการใช้เส้นสายที่ดูแข็งแกร่งบริเวณตัวถังเหนือล้อคู่หลังที่ค่อยๆ ทอดต่ำลงและผสานเข้ากับฝากระโปรงหลังที่มีลักษณะราบเรียบ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อีกประการหนึ่งของรถยนต์ตระกูล CLSนอกจากนี้รถยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับหลังคาซันรูฟเลื่อนเปิด–ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า, กันชนหน้า–หลัง และสเกิร์ตดีไซน์สปอร์ตจาก AMG, สัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรก, ล้ออัลลอยสปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว อีกทั้งชุดไฟหน้าแบบ Multibeam LED และไฟท้ายแบบ LED พร้อมเทคโนโลยีไฟเบอร์ออฟติก
New CLS 300 d AMG Premium มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบคู่ และอินเตอร์คูลเลอร์ ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic และระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Steering-Wheel Gearshift Paddles) ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว ควบคุมแรงเหวี่ยงจากการทำงานของเครื่องยนต์ให้ต่ำลง ช่วยให้สมรรถนะการขับขี่นุ่มนวลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เทคโนโลยีการขับขี่ระบบ Dynamic Select ที่มีโหมดการขับขี่อันหลากหลาย ซึ่งทำให้ผู้เป็นเจ้าของสามารถสัมผัสถึงการขับขี่แบบเร้าใจหรือการขับขี่แบบ นุ่มสบายตลอดการเดินทางในคันเดียว โดยมีโหมดการขับขี่ 5 แบบ คือ ECO ที่ช่วยปรับการขับขี่เข้าสู่ระบบประหยัดน้ำมัน, Individual ที่สามารถช่วยจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ขับได้, Comfort ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลาย สะดวกสบายเหมือนขับรถซาลูน, Sport เน้นการเพิ่มความเร้าใจในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น และ Sport+ ซึ่งเป็นโหมดที่สามารถใช้สมรรถนะเครื่องยนต์ได้สูงที่สุด และอัตราเร่งดีที่สุด
Mercedes-Benz E 200 Coupé AMG Dynamic
ราคา: 4.39 ล้านบาท
Mercedes-Benz E 200 Coupé AMG Dynamic สปอร์ตคูเป้หรูล้ำสมัยภายใต้คอนเซ็ปต์ Sensual Purity โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ พัฒนา และออกแบบเพื่อให้ได้ยานยนต์ที่มีรูปทรงสปอร์ต โฉบเฉี่ยวดุดันมากขึ้น สะท้อนเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยไฟหน้า Multibeam LED ที่รับกับกระจังหน้าแบบ Diamond Grille ได้เป็นอย่างดี
รถยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับหลังคาซันรูฟเลื่อนเปิด–ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, บานหน้าต่างแบบไร้ขอบที่สามารถเปิดขึ้น-ลงได้ ทั้งบานหน้า และบานหลัง, กันชนหน้า – หลัง และสเกิร์ตดีไซน์สปอร์ตจาก AMG, สัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรก, ล้ออัลลอยสปอร์ตจาก AMG สี High-gloss Black พร้อม High-sheen Finish แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้วดีไซน์ภายในเป็นการผสมผสานระหว่างความโฉบเฉี่ยวของรถสปอร์ต และความเรียบหรูในแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดย E 200 Coupé AMG Dynamic โดดเด่นด้วยพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตท้ายตัด พร้อมปุ่มควบคุมแบบสัมผัส คอนโซลด้านหน้า และด้านบนของแผงข้างประตูตกแต่ง ด้วยอะลูมิเนียมลาย Crystal Grain และคอนโซลกลางตกแต่งด้วยลายไม้ Black Open-pore Black Ash จอแสดงผลความละเอียดสูง Widescreen Cockpit ที่กว้างพิเศษถึง 12.3 นิ้ว รับกับดีไซน์คมเข้มของช่องระบบปรับอากาศใหม่ ที่ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากรูปทรงใบพัดของเครื่องยนต์อากาศยาน พร้อมพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวางมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มสุนทรียภาพของการเดินทางด้วยระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester และระบบไฟในห้องโดยสารที่ปรับได้ 64 โทนสี
ด้านความปลอดภัยและเทคโนโลยี สำหรับรถยนต์รุ่นนี้ ประกอบด้วยระบบรักษาความปลอดภัยและเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยให้การขับขี่สะดวกสบายขึ้น อาทิ ระบบ Dynamic Select ที่มีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 5 แบบได้แก่ ECO, Comfort, Sport, Sport+ และ Individual ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist), ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist) พร้อมฟังก์ชันเปิด-ปิดฝากระโปรงโดยไม่ต้องใช้มือ (Hand-Free Access) ระบบป้อนเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ สำหรับผู้ขับขี่ และผู้โดยสารด้านหน้า (Automatic Belt Feeders) ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple Car Play) และ Android Auto
The E 200 Coupé AMG Dynamic มาพร้อมกับ ระบบเกียร์อัตโนมัติชุดใหม่ 9G-TRONIC ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว สมรรถนะการขับขี่ที่ดีขึ้น และช่วยให้อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง
Maserati Ghibli GranLusso Zegna
ราคา: เริ่มต้น 6.99 ล้านบาท
มาเซราติ ประเทศไทย ร่วมมือกับ แอร์เมเนจิลโด เซนญ่า แบรนด์แฟชั่นระดับโลกจากอิตาลี รังสรรค์งานตกแต่งสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ด้วยผ้าไหมอิตาเลียนในห้องโดยสารของ Maserati Ghibli GranLusso ด้วยผ้าไหมมัลเบอร์รี (Mulberry Silk) ที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพดีสุดในโลก บริเวณกึ่งกลางเบาะนั่งคู่หน้า และคู่หลัง ผสานหนังแท้เนื้อละเอียดที่มีให้เลือกถึง 3 สีคือ ดำ น้ำตาล หรือแดง ซึ่งสะท้อนให้เห็นอารมณ์ของความสปอร์ต และความหรูหราในระดับลักชัวรี่ รวมทั้งการตบแต่งบริเวณแผงประตู เพดาน และแผ่นบังแดด ผสานพวงมาลัยที่หุ้มด้วยหนังแท้เนื้อละเอียดNew Ghibli ที่นำเข้ามาจำหน่ายในไทย แบ่งเป็น 2 รุ่นหลักคือเครื่องยนต์เบนซิน และเครื่องยนต์ดีเซล โดยมีทั้งหมด 4 รุ่นย่อย: Ghibli GranLusso เครื่องยนต์เบนซิน วี6 สูบ 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ 350 แรงม้า, GranSport ใช้เครื่องยนต์เดียวกัน แต่เพิ่มกำลังเป็น 430 แรงม้า, Ghibli Diesel เครื่องยนต์ดีเซล วี6 สูบ 3.0 ลิตร เทอร์โบ 275 แรงม้า กับแรงบิดสูงถึง 600 นิวตันเมตร ที่ 2,000-2,600 รอบ/นาที และรุ่นสุดท้าย Ghibli Diesel GranLusso ที่ถูกเพิ่มหลายออปชั่นล้ำสมัย โดยทุกรุ่นส่งกำลังสู่ล้อหลัง ผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF
Aston Martin Vantage
ราคา: เริ่มต้น 16.99 ล้านบาท
New Vantage มาพร้อมรูปลักษณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยเส้นสายอันบึกบึน ผสานแนวทางการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ เส้นสายตัวถังดูเรียบง่าย แต่แข็งแกร่ง ให้ความรู้สึกบึกบึนแบบนักกีฬา ผสานความดุดันของนักล่า โอเวอร์แฮงค์หน้า-หลังสั้น และโป่งล้อกว้าง แสดงถึงความคล่องตัว และการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพของไฟหน้า-ไฟท้ายแบบใหม่ ช่วยสร้างจุดเด่นให้รถรุ่นนี้ โดยส่งผลให้เกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และความแตกต่างให้กับยนตรกรรมของ Aston Martin ที่มีการเพิ่มไลน์อัพอย่างต่อเนื่องหัวใจของ New Vantage เป็นเครื่องยนต์เบนซิน วี8 สูบ 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 503 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 685 นิวตันเมตร ที่ 2,000-5,000 รอบ/นาที ติดตั้งล้ำเข้าไปให้ชิดกับตัวถังมากสุด เพื่อการกระจายน้ำหนักหน้า-หลังที่สมดุล 50:50 แม้เครื่องยนต์บล็อกนี้เปี่ยมไปด้วยพลัง แต่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 245 กรัม/กม. และด้วยพิกัดที่เบาเพียง 1,530 กก. ก็ส่งผลให้ New Vantage มีอัตราส่วนแรงม้า-แรงบิด/น้ำหนักดีมาก พิสูจน์ได้ทุกครั้งที่กดคันเร่งลึกๆ ในทุกช่วงรอบ นอกจากนั้น การปรับแต่งระบบไอดี-ไอเสีย และกล่องอีซียูอย่างพิถีพิถันช่วยให้มีเสียงคำรามราวกับสัตว์ป่าที่ดุดัน
สะท้อนความเป็นสปอร์ตอย่างเต็มตัว ผ่านรูปลักษณ์โดดเด่นสะดุดตา Aston Martin Vantage นับเป็นรถสปอร์ตที่สามารถขับได้ทุกวัน ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ของ ZF อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3.6 วินาที ท็อปสปีด 314 กม./ชม. พร้อมติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สามารถควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างความรื่นรมย์ให้ผู้ขับได้มากสุด
Rolls-Royce New Phantom
ราคา: เริ่มต้น 53.5 ล้านบาท
โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก นำเสนอ “นิว แฟนธอม” เจเนอเรชั่นที่ 8 ของยนตรกรรมระดับอัลตร้าลักชัวรี่ที่มีราคาทะลุ 59.5 ล้านบาท ครองตำแหน่งรถยนต์ที่มีราคาแพงที่สุดในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39
ในรถยนต์โรลส์-รอยซ์ ‘นิว แฟนธอม‘ การขับเคลื่อนแบบพรมวิเศษ (Magic Carpet Ride) ที่มีชื่อเสียงของโรลส์-รอยซ์ ถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นด้วยระบบดูดซับแรงสั่นสะเทือนแบบอากาศ และระบบกล้อง 3 มิติอัจฉริยะที่จะจับเหตุการณ์บนถนนรอบด้าน พร้อมติดตั้งวัสดุซับเสียงที่มีน้ำหนักรวมกว่า 130 กิโลกรัม โดยผลลัพธ์ที่ได้คือผู้ขับขี่ และผู้โดยสารจะรู้สึกว่าภายในรถมีความเงียบมากกว่าแฟนธอมรุ่นก่อนราว 10 เปอร์เซ็นต์ ทำให้กลายเป็นรถยนต์ที่ได้รับการยกย่องอย่างมากในเรื่องคุณภาพการขับที่แทบจะไร้เสียงรบกวนพลังการขับเคลื่อนของแฟนธอม เจเนอเรชั่นที่ 8 จะเป็นเครื่องยนต์ V 12 6.75-litre ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ มาพร้อมเทอร์โบชาร์เจอร์คู่ที่ทำให้สร้างแรงบิด 900 นิวตันเมตรในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำเพียง 1,700 รอบ/นาที และมีกำลังสูงสุด 563 แรงม้า พร้อมใช้ระบบ Satellite Aided Transmission (SAT) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ ZF 8-Speed เพื่อให้ความมั่นใจว่ารถยนต์ที่หรูหราคันนี้สามารถพาคุณไปสู่ทุกจุดหมายได้อย่างราบรื่นเหมืนดั่งพรมวิเศษ
ความหรูหราภายในห้องโดยสารภายของโรลส์-รอยซ์ เป็นที่ยอมรับว่าเหนือกว่ารถยนต์ทุกแบรนด์บนโลกนี้ โดย นิว แฟนธอม ได้รับการสร้างสรรค์ด้วยไอเดีย ‘The Gallery’ ชิ้นงานขนาดใหญ่ที่ปรากฏบนแผงคอนโซลหน้าบริเวณคนขับ ด้วยการที่เจ้าของรถทุกคนสามารถเลือกวัสดุ, รูปแบบ และความพิเศษทุกอย่างที่ต้องการเพื่อทำให้โรลส์-รอยซ์ นิว แฟนธอม เปรียบเสมือนห้องแสดงผลงานศิลป์เคลื่อนที่แห่งแรกของโลก
สำหรับราคาของโรลส์-รอยซ์ นิว แฟนธอม ในรุ่นตัวถังปกติจะเริ่มต้นที่ 53.5 ล้านบาท และในรุ่นฐานล้อยาว (Extended Wheelbase) ราคาจะเริ่มต้นที่ 59.5 ล้านบาท โดยลูกค้าที่สนใจสั่งจองจะต้องรอรถยนต์ประมาณ 6-9 เดือนขึ้นอยู่กับการตบแต่งพิเศษที่เลือกผ่านโปรแกรม Bespoken บริการพิเศษของ โรลส์-รอยซ์ เพื่อให้รถทุกคันสามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้ครอบครอง
Nissan GT-R Premium Edition
ราคา: 13.5 ล้านบาท
นิสสัน ย้ำความมุ่งมั่นในการนำเสนอนวัตกรรม และความตื่นเต้นเร้าใจสู่ประเทศไทย ด้วยการเปิดตัว นิสสัน จีที-อาร์ พรีเมียม อิดิชั่น 2018 ที่ถูกยกให้เป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ระดับตำนานของนิสสันที่ได้รับการพัฒนา และปรับแต่งระบบวิศวกรรมจากประสบการณ์กว่า 35 ปี ของนิสสัน ในการพัฒนารถแข่งในวงการมอเตอร์สปอร์ตระดับโลก จนกลายเป็นหนึ่งในรถโปรดักชั่นที่เร็วที่สุดในโลก
ตัวถังแบบแกรนด์ทัวริ่ง 2+2 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ วี6 ขนาด 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ ที่ประกอบด้วยมือ ให้พละกำลังสูงสุด 555 แรงม้า ผ่านระบบเกียร์ซีเควนเชียลดูอัลคลัตช์ 6 สปีดที่ สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ภายในเวลาชั่วพริบตา เพียง 0.15 วินาทีเมื่ออยู่ในโหมด R-Mode ถ่ายกำลังลงพื้นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
นิสสัน จีที-อาร์ พรีเมียม อิดิชั่น 2018 ที่จำหน่ายในประเทศไทย ภายในห้องโดยสารจะมีให้เลือก 4 โทนสี Black Amber, Ivory, Saddle Tan และ Red Amber กับ 6 สีตัวถังภายนอกได้แก่ Katsura Orange, Vibrant Red, Pearl Black, Gun Metallic, Pearl White และ Pearl Blue
Toyota C-HR Modellista Elegant Ice Style
ราคา: – (รถโชว์พิเศษในงาน)
ในช่วงเวลาเดียวกับที่เริ่มส่งมอบ C-HR ให้กับลูกค้าชาวไทย ระหว่างงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 โตโยต้า เอาใจบรรดาแฟนคลับรถคอมแพ็กต์ครอสส์โอเวอร์รุ่นนี้ด้วยการนำรุ่นแต่งพิเศษ Toyota C-HR Modellista Elegant Ice Style ชุดแต่งจากแบรนด์ Modellista บริษัทในเครือโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศญี่ปุ่นมานำเสนอกับผู้เข้าชมงาน
C-HR Modellista Elegant Ice Style เป็นการออกแบบเน้นที่ความเรียบง่าย ทันสมัย เพิ่มความหรูหราผ่านเส้นสายที่เฉียบคมตกแต่งด้วยวัสดุโครเมียม ให้ความรู้สึกที่เหนือระดับในสไตล์ Modellista
Honda Clarity Fuel Cell
ราคา: – (รถโชว์พิเศษในงาน)
ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย นำผู้เข้าชมงานบางกอก มอเตอร์โชว์ ก้าวสู่โลกแห่งอนาคต เทคโนโลยีการขับเคลื่อน และใช้ชีวิตที่หลากหลาย โดยไฮไลต์สำคัญคือการนำยนตรกรรมพลังงานสะอาดที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานเชื้อเพลิง และปราศจากไอเสีย “ฮอนด้า คลาริตี้ ฟิวเซลล์” (Honda Clarity Fuel Cell) ที่สุดแห่งเทคโนโลยียานยนต์อันล้ำสมัยเพื่อสิ่งแวดล้อม
ฮอนด้า คลาริตี้ ฟิวเซลล์ รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงที่ปราศจากไอเสีย นับเป็นรถฟิวเซลล์แบบซีดาน 5 ที่นั่งคันแรกของโลก โดยแผงเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Stack) ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้า ผสานระบบส่งกำลังให้มีสมรรถนะเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ V6 โดยสามารถวิ่งได้ระยะทางประมาณ 750 กิโลเมตร ต่อการเติมไฮโดรเจนเต็มถัง (ผลการทดสอบภายในของฮอนด้า ตามโหมดทดสอบของประเทศญี่ปุ่น ภายใต้เงื่อนไขของสภาวะอากาศ สภาพการจราจร และลักษณะการขับขี่ในขณะทดสอบ)ระยะทางการวิ่งดังกล่าว นับเป็นระยะทางที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน และมีอัตราการประหยัดน้ำมันประมาณ 28.3 กิโลเมตร/ลิตร
ทั้งนี้ ฮอนด้า คลาริตี้ ฟิวเซลล์ เป็นหนึ่งในฮอนด้า คลาริตี้ ซีรี่ส์ ที่มีเครื่องยนต์ 3 รูปแบบ ได้แก่ คลาริตี้ ปลั๊ก-อิน ไฮบริด คลาริตี้ อิเล็คทริค และคลาริตี้ ฟิวเซลล์ ซึ่งได้รับการพัฒนาบนแพลตฟอร์มเดียวกันตามกลยุทธ์ ทรี อิน วัน แพลตฟอร์ม
Mitsubishi eX Concept
ราคา: – (รถยนต์ต้นแบบ)
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เป็นค่ายรถยนต์เพียงหนึ่งเดียวในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 ที่ขนรถยนต์ต้นแบบข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้คนไทยได้สัมผัส และเรียนรู้ถึงเทคโนโลยีด้านยานยนต์ในอนาคต โดยรถคันนี้ถูกเผยโฉมออกมาครั้งแรกในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2016
มิตซูบิชิ อีเอ็กซ์ คอนเซปต์ (Mitsubishi eX Concept) คือวิสัยทัศน์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในการพัฒนารถอเนกประสงค์แห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ ด้วยเอกลักษณ์การออกแบบที่โดดเด่นแบบ Dynamic Shield ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เน้นเส้นสายความรู้สึกแบบสปอร์ตครอสโอเวอร์ รูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวและปราดเปรียว พร้อมด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทางการสร้างสรรค์รถอเนกประสงค์ในอนาคตอีเอ็กซ์ คอนเซปต์ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าเจเนอเรชันใหม่ ใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุสูง และเต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ พร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงที่ทำให้ระบบขับเคลื่อนทั้งหมดมีน้ำหนักเบา และประหยัดประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีระยะทางขับเคลื่อนอยู่ที่ 400 กิโลเมตร ด้วยระบบ Twin Motor 4WD และ S-AWC
รถเอสยูวีรุ่นต้นแบบใหม่ล่าสุดนี้ มอบสมรรถนะการขับขี่ และการควบคุมที่เหนือกว่า นอกจากนี้ยังมีระบบขับขี่อัตโนมัติผสานกับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ใช้ระบบการจัดการข้อมูลรุ่นใหม่ล่าสุดและเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย
ภายในห้องโดยสารของ อีเอ็กซ์ คอนเซปต์ ใช้สีเบาะที่นั่งคู่หน้าที่แตกต่างกันเพื่อสร้างบรรยากาศที่แตกต่างระหว่างผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร การออกแบบภายในเน้นความกว้างขวาง โฉบเฉี่ยวและหรูหรา พร้อมเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง (Augmented Reality: AR) บนกระจกหน้า เพื่อแสดงข้อมูลการขับขี่ระบบนำทางผ่านดาวเทียม
การแจ้งเตือนระยะห่างระหว่างรถยนต์ ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา และข้อมูลจากป้ายสัญญาณจราจรผ่านระบบตรวจจับด้วยกล้อง กระจกหน้ายังมาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบติดตามการแจ้งเตือน (Caution Tracking) ซึ่งมีเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ด้วยระบบสื่อสารระหว่างรถยนต์กับรถยนต์ (Vehicle-to-Vehicle) รถยนต์กับถนน (Vehicle-to-Road) และรถยนต์กับคนเดินถนน (Vehicle-to-Pedestrian) เพื่อแสดงสัญญาณแจ้งเตือนและระบบแนะนำการขับขี่
อีกหนึ่งคุณสมบัติสำคัญคือหน้าจออัจฉริยะ (Intelligent Display) ที่เป็นศูนย์กลางแสดงข้อมูลการขับขี่ตลอดการเดินทาง ผู้ขับขี่สามารถค้นหาข้อมูลผ่านสมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลผ่านระบบประมวลผลแบบคลาวด์ ขณะที่ฟังก์ชันปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยแนะนำการใช้งานจากการเรียนรู้พฤติกรรม และความสนใจส่วนตัวของผู้ขับขี่
มิตซูบิชิ อีเอ็กซ์ คอนเซปต์ แสดงให้เห็นถึงแนวคิดรถอเนกประสงค์แห่งอนาต ด้วยการผสานเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่เข้ากับความเป็นเลิศทางวิศวกรรม เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ด้านยานยนต์เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า และระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะสำหรับรถอเนกประสงค์แห่งอนาคต
PORSCHE 911 GT2 RS
ราคา: 33.5 ล้านบาท
ปอร์เช่ ประเทศไทย โดยบริษัทเอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้า-ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เรียกเสียงฮือฮาได้อย่างแน่นอนในงานนี้กับการนำยนตรกรรมที่ทรงพลังที่สุดที่เคยมีมาของปอร์เช่ มาร่วมอวดโฉมกันภายในงาน 911 จีที 2 อาร์เอส รุ่นใหม่ล่าสุด ติดตั้งเครื่องยนต์สูบนอน ไบเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 700 แรงม้า ผสานระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะคลัตช์คู่ 7 จังหวะ PDK ที่ผ่านการปรับจูนในรูปแบบของรถแข่ง GT ส่งให้อัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งไปยังความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลาเพียง 2.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดกว่า 340 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีจากความเชี่ยวชาญในวงการมอเตอร์สปอร์ตที่ผลักดันให้ 911 จีที 2 อาร์เอส มีพละกำลังมากกว่ารุ่นเดิมซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดความจุ 3.6 ลิตร ถึง 80 แรงม้า และสร้างแรงบิดมหาศาลถึง 750 นิวตันเมตร เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 50 นิวตันเมตรช่วงล่างสไตล์รถสนามเพื่อการบังคับควบคุมที่แม่นยำทุกในทุกโค้ง พร้อมติดตั้งอุปกรณ์สุดพิเศษ อาทิ ระบบควบคุมการทรงตัวด้วยอิเล็กทรอนิกส์ PSM ซึ่งถูกปรับแต่งมาอย่างละเอียด พร้อมรูปแบบการขับขี่ Sport Mode ระบบเบรก Porsche Ceramic Composite Brakes (PCCB) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ชุดแต่งเพิ่มสมรรถนะ Weissach Package จะลดน้ำหนักรวมของรถคันนี้ลงได้ถึง 30 กิโลกรัม ผลิตจากวัสดุ Carbon-fiber Reinforced Plastic และไทเทเนียม อาทิ โครงหลังคา และเหล็กกันโคลง รวมทั้งชุดลูกหมากทุกจุดทั้งบริเวณช่วงล่างด้านหน้า และด้านหลัง ล้วนได้รับการสร้างขึ้นจากคาร์บอน วงล้อผลิตจากวัสดุแมกนีเซียมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดน้ำหนัก ส่งผลโดยตรงต่อคุณสมบัติในการบังคับควบคุมที่เป็นเลิศของระบบช่วงล่าง
ทั้งนี้ เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส ไม่ได้แค่เพียงนำมาโชว์ให้ชมกันเฉยๆ ยังพร้อมเปิดให้ลูกค้าที่สนใจได้จับจองเป็นเจ้าของ 911 จีที 2 อาร์เอส รุ่นใหม่ คันนี้ ในราคา 33.5 ล้านบาท พร้อมด้วยยังเปิดให้สั่งจอง Porsche Design 911 GT2 RS Chronograph นาฬิการุ่นพิเศษที่ออกมาให้คู่กับ 911 จีที 2 อาร์เอส รุ่นใหม่ อีกด้วย
The New Audi A8 L
ราคา: เริ่มต้น 6.79 ล้านบาท
อาวดี้ ประเทศไทย สานต่อความสำเร็จหลังจากเข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการครบรอบ 1 ปี ด้วยการนำรถยนต์ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของแบรนด์ New Audi A8 L เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยจะสะท้อนทิศทางแห่งศักราชใหม่ของการออกแบบยนตรกรรมที่ล้ำสมัยทุกมิติของ Audi ในอนาคต
New Audi A8 L ได้รับการออกแบบให้มีความงดงามโดดเด่น สะกดทุกสายตา การออกแบบตัวถังภายนอก สะท้อนความสำเร็จของแนวคิดการออกแบบใหม่ของ Audi ที่สามารถผสมผสานอารมณ์สปอร์ต ความหรูหราภูมิฐานเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ตัวถังมีมิติช่วยให้รถดูมีพลัง เส้นสายแนวนอนทำให้รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวพร้อมตอบสนองการขับขี่ทุกเวลา และให้ความรู้สึกหรูหราเพิ่มมากยิ่งขึ้นเครื่่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร Mild Hybrid V6 จะมีกำลังสูงสุด 340 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 8 จังหวะ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro ที่มีชื่อเสียงของ Audi ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และความสนุกในการขับขี่
อีกความพิเศษจะเป็นเทคโนโลยีระบบไฟหน้า Matrix LED ประกอบด้วย LED ข้างละ 84 ดวงในหลอดไฟหน้า ควบคุมการทำงานอิสระ ปรับลำแสงที่เหมาะสมกับสภาพการใช้งานทุกเส้นทาง และไม่รบกวนสายตาผู้อื่น ด้วยการใช้ข้อมูลจากกล้องหน้ารถยนต์ทำให้มีความแม่นยำสูง
Audi A7 Sportback
ราคา: 5.39 ล้านบาท
Audi A7 Sportback 55 TFSI quattro S line รถสปอร์ตคูเป้ 4 ประตู มีความโดดเด่นด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน Mild Hybrid (MHEV) 6 สูบ พร้อมระบบจ่ายน้ำมันแบบฉีดตรง (Direct Injection) เทอร์โบชาร์จ ขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro เกียร์อัตโนมัติ S tronic 7 จังหวะ 3.0 ลิตร แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 5.3 วินาที ตกแต่งแบบ S line
ภายในมาพร้อมเทคโนโลยีดิจิตอลเต็มรูปแบบ จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบ MMI Navigation plus with MMI touch response พร้อมจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว จอควบคุมมัลติฟังก์ชันแบบสัมผัสพร้อมตอบสนองการสั่งงาน (haptic feedback) ขนาด 8.6 นิ้ว เบาะนั่งหุ้มหนัง Valcona แบบ Sport พร้อมสัญลักษณ์ S line ระบบเครื่องเสียง Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติA7 Sportback นับเป็นยนตรกรรมที่สะท้อนถึงความสำเร็จของทีมวิศวกรออกแบบ Audi ที่สามารถผสานรวมความเป็นคูเป้ ซีดาน และความล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว บทใหม่แห่งการดีไซน์ ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่า อีกทั้งยังตอบสนองเรื่องของไดนามิค คุณประโยชน์ในการใช้งาน และให้ความรื่นรมย์บันเทิงไว้ในรถคันเดียวกัน
Jaguar F-TYPE
ราคา: 6.99 ล้านบาท
Jaguar F-Type มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ Ingenium เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบ ให้สมรรถนะสูงสุด 300 แรงม้า พร้อมระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด โดยมีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้พลังงานเชื้อเพลิง แต่ยังคงให้พลังและขับขี่ได้อย่างราบรื่นทันใจตามที่นักขับต้องการ
ระบบเทอร์โบชาร์จที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงสามารถเรียกทอร์คสูงได้ตั้งแต่ในช่วงรอบเครื่องต่ำ และให้แรงบิดสูงสุดในรอบเครื่องกว้าง ทำให้ระบบเครื่องยนต์เรียกพลังและตอบสนองผู้ขับขี่ได้ทันใจ ด้วยเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังแรงถึง 300 แรงม้า เรียกพลังจากแรงบิดสูงถึง 400 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ได้ในเวลาเพียง 5.7 วินาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 13.8 กิโลเมตรต่อลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 163 กรัมต่อกิโลเมตร
Hyundai IONIQ
ราคา: 1.74 ล้านบาท
ฮุนได ค่ายรถแดนกิมจิ อวดโฉม ไอออนิก ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นแรกของโลก ที่มีจำหน่ายในทั้ง 3 รูปแบบระบบขับเคลื่อน ได้แก่ ไฮบริด, ปลั๊ก-อิน ไฮบริด และอีวี ชูความเป็นรถยนต์ที่มีการคายมลพิษต่ำที่สุดหรือปราศจากมลพิษ ภายใต้การออกแบบที่มีความสวยงาม ทันสมัย ทั้งยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีการขับขี่ การเชื่อมต่อ และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย
แต่ที่นำมาขายในไทยเป็นรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ดังนั้น กระจังหน้าจึงถูกออกแบบในลักษณะปิดทึบ เนื่องจากไม่ต้องใช้งานเพื่อการระบายความร้อนเครื่องยนต์ แต่ยังคงไว้ซึ่งความพลิ้วไหว และสะอาดตา ด้วยสีเทาเข้ม ไฟส่องสว่างขณะขับขี่เวลากลางวัน ไฟหน้าและไฟท้ายเป็นแบบ LED บริเวณชายกันชนด้านหน้าและด้านหลัง รวมทั้งชายประตูทั้ง 4 บาน ถูกตกแต่งด้วยสีทองแดง ที่สื่อถึงความเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายในถูกออกแบบโดยเน้นถึงความเป็นรถแห่งอนาคต ด้วยแนวคิด ‘Purified High-Tech’ ที่เน้นถึงความเรียบง่าย ลื่นไหล แต่มีความประณีต และใช้งานง่าย เน้นการใช้วัสดุที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมที่น้อยที่สุด มีผิวสัมผัสที่เรียบ ลื่น และให้ความรู้สึกสะอาดบริสุทธิ์ วัสดุภายใน จึงเลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติ
ขับเคลื่อนโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าชนิดซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร ที่ให้พละกำลังสูงสุด 120 แรงม้า (88kW) แรงบิดสูงสุด 295 นิวตัน-เมตร เชื่อมต่อผ่านระบบเกียร์แบบ single-speed ที่สามารถเลือกตำแหน่งเกียร์ผ่านปุ่มกดบริเวณคอนโซลกลาง และสามารถพารถยนต์ไปที่ความเร็วสูงสุดที่ 165 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบตเตอรี่ที่ใช้สำหรับเก็บพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนนั้น เป็นแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน โพลิเมอร์ ใช้เวลาในการชาร์จไฟแบบปกติอยู่ที่ 4 ชั่วโมง 25 นาที โดยแบตเตอรี่ติดตั้งอยู่ใต้ที่นั่งของผู้โดยสารตอนหลัง แต่ยังคงไว้ซึ่งพื้นที่ที่สามารถบรรจุสัมภาระได้สูงสุดถึง 650 ลิตร
Bentley Bentayga Diesel
ราคา: 21.5 ล้านบาท
Bentayga Diesel นับเป็นรถยนต์เอสยูวีเครื่องยนต์ดีเซลที่ให้สมรรถนะชั้นเลิศผสานกับความงดงาม ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V8 Triple-charged ขนาดความจุ 4.0 ลิตร 32 วาล์ว รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมไปด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำให้พละกำลัง 435 แรงม้า รีดแรงบิดได้ถึง 900 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุดที่ 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในระยะเวลาเพียง 4.8 วินาที
นวัตกรรมเทคโนโลยีพลังงานสะอาดยุคใหม่ คือปัจจัยที่ช่วยให้ Bentayga Diesel มีอัตราการปล่อยไอเสีย CO2 ต่ำที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ Bentley รุ่นอื่นๆ เช่นเดียวกับระยะการเดินทางสูงสุดที่ไปได้ไกลเกินกว่า 1,000 กิโลเมตร ได้ด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงหนึ่งถังเท่านั้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ Bentayga Diesel ทั้งยังอัดแน่นด้วยนวัตกรรมชั้นเยี่ยม พร้อมด้วยเทคโนโลยีแห่งวิศวกรรมยานยนต์ ผสานกับการตกแต่งอันหรูหราจากงานฝีมือ
FOMM AWD Sport Concept
ราคา: – (รถยนต์ต้นแบบ)
FOMM (First One Mile Mobility) เป็นหนึ่งในค่ายรถยนต์ที่ถูกจับตามองอย่างมากในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ ครั้งนี้ ด้วยการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเปิดตัว FOMM One รถไฟฟ้าขนาดเล็ก 4 ที่นั่ง เมื่อปี 2014
สำหรับความน่าสนใจของ FOMM กับการเข้าร่วมงานในปีนี้คือการนำคอนเซปต์คาร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะทำการอวดโฉมไปในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ FOMM AWD Sport Concept เข้ามาเปิดให้ชาวไทยได้สัมผัสอย่างเป็นทางการครั้งแรก
FOMM AWD Sport Concept คือรถพลังงานไฟฟ้าแบบขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดกะทัดรัด 2 ที่นั่ง ด้วยขนาดตัวถังมีความยาวอยู่ที่ 3,300 มม. กว้าง 1,490 มม. และสูงเพียง 1,255 มม. การออกแบบกระจังหน้าได้รับแรงบันดาลใจจากการแต่งหน้าแบบคาบูกิ ศิลปะการแสดงของญี่ปุ่น เป็นรถแบบเปิดประทุน ดีไซน์สปอร์ต ทันสมัย ไฟหน้าเป็นแบบ LED ประตูเปิดข้างแบบกรรไกร เส้นสายดูเรียบง่ายลงตัว
ส่วนการตกแต่งภายในเลือกใช้วัสดุเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ ส่วนแผงคอนโซลดูล้ำสมัยสวยงาม พวงมาลัยทรงสปอร์ตขนาดใหญ่ ด้านเบาะหนังผสมผสานกันระหว่างคาร์บอนไฟเบอร์และหนังแบบ Alcantara ดูล้ำสมัยมากขึ้นด้วยชุดจอแสดงผลดิจิตอลแบบไวล์ดสกรีน
ด้านของมอเตอร์ไฟฟ้าผลิตกำลังรวม 27 แรงม้า (20 กิโลวัตต์) และแรงบิด 1,120 นิวตันเมตร มีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 4 ก้อน ซึ่งแต่ละรุ่นมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 2.96 กิโลวัตต์ โดยการชาร์จไฟ 1 ครั้ง สามารถวิ่งได้ไกลถึง 160 กิโลเมตร